พระราชวังหลวงพระบาง
หลังจากเดินขึ้นบันได 328 ขั้น ตรงสู่ยอดเขาพูสี เพื่อชมพระอาทิตย์ตกดินและทิวทัศน์ของเมืองหลวงพระบาง เมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองมรดกโลก ก็สมกับที่ใครๆเขาว่ากันนั่นแหละครับ เพราะที่นี่เจ๋งจริงๆ เมื่อเดินลงจากยอดเขาพูสีหลังจากที่ชมความงามของที่นี่จนจุใจแล้ว ก็มาเดินตลาดมืดต่อ ที่ด้านล่างก่อนจะขึ้นยอดเขานั่นแหละครับ แต่ยังมีอีกสถานที่หนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่และแถมยังเป็นสถานที่สำคัญที่นักเที่ยวอย่างเราๆท่านๆก็ไม่ควรพลาดกันอีกด้วย เราไปรู้จักกับ พระราชวังหลวงพระบาง หรือ พิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง ว่าแล้ววันนี้เราจะไปเหยียบที่นี่กันครับ
พระราชวังหลวงพระบางเป็นอาคารแบบฝรั่งครับแต่หลังคาเป็นแบบทรงลาวๆ เรียกว่าผสมผสานกันได้อย่างลงตัวทีเดียวตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง หันหน้าเข้าสู่พระธาตุพูสี ส่วนตัวพระราชวังนั้นจะเป็นหมู่อาคารครับ
เตี้ยๆชั้นเดียว ที่ตั้งอยู่บนพื้นยกสูงนั้น มีความงดงามลงตัวของศิลปะยุคอาณานิคมผสมกับศิลปะแบบล้านช้าง สภาพโดยรอบนั้นก็มีความร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ไม่หนาจนเกินไป
พิพิธภัณฑ์หลวงพระบางแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2447 สมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ สืบทอดต่อมาถึงสมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของลาวครับ
ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือที่ชาวลาวเรียกว่า “การปลดปล่อย”นั้น รัฐบาลลาวก็ได้เปลี่ยนพระราชวังหลวงนั้นมาเป็น “หอพิพิธภัณฑ์” นั่นเองครับ รัฐบาลลาวใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงโบราณวัตถุและของมีค่า อาทิ บัลลังก์ ธรรมาสน์ เครื่องสูงและราชูปโภคของเจ้าชีวิ พระพุทธรูป และวัตถุโบราณ ของขวัญจากต่างประเทศต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือ พระบาง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองประดิษฐานอยู่ในหอไตร ทางปีกขวาของพระราชวังเป็นการชั่วคราว ระหว่างการบูรณะหอพระบางที่ด้านหน้าของพระราชวัง โดยภายในหอไตรนี้ยังมีพระไตรปิฎกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เคยพระราชทานให้กษัตริย์ลาวด้วยนะครับ
ลักษณะแผนผังของตัวพระราชวังประกอบด้วยอาคารขวางด้านหน้า หลังคามุงกระเบื้อง ตรงกลางมีมุขยื่นออกมา มีหน้าบันเป็นรูปช้าง 3 เศียร มีฉัตรกางอยู่ตรงกลางข้างบน อันเป็นสัญลักษณ์ของราชอาณาจักรลาวล้านช้างในระบอบเดิม
ตรงเข้าไปเป็นห้องฟังธรรมของเจ้ามหาชีวิตและท้องพระโรง เบื้องหลังท้องพระโรงเป็นอาคารที่มีหลังคาเป็นยอดปราสาทหลังเดียวมองเห็นเป็นสง่าเด่นชัดจากภายนอกตัวอาคาร แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ปีกทางด้านซ้ายมือเป็นห้องรับแขกของพระมเหสี ส่วนปีกทางด้านขวามือเป็นห้องรับแขกของเจ้ามหาชีวิตมีความสวยงามบรรยากาศเป็นแบบฝรั่งเศสปนลาว
ส่วนของห้องสุดท้ายของปีกด้านนี้ได้ถูกจัดให้เป็นห้องพระโดยเฉพาะ ภายในเป็นที่ประดิษฐานของ “พระบาง” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบางจึงกลายเป็นที่มาของชื่อ “เมืองหลวงพระบาง”อันหมายถึงเมืองที่มี “พระบาง” ประดิษฐานอยู่นั่นเองครับ
ถ้าหากท่านใดที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวที่นี่ ต้องเช็คกันหน่อยครับ เพราะที่นี่เขาเปิดให้เข้าชมทุกวันยกเว้นวันอังคารครับ โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลาคือ
ตอนเช้า 8.00 น. - 11.30 น. ปิดขายบัตรเข้าชมสำหรับภาคเช้าเวลา 11.00 น.
ตอนบ่าย 13.30 น. - 16.00 น. ปิดขายบัตรเข้าชมสำหรับภาคบ่ายเวลา 15.30น.
ค่าธรรมเนียมการเข้าชม 30.000 กีบ ครับ
หมายเหตุ ภายในพระราชวังหลวง ห้ามการถ่ายรูปทุกชนิดครับ
นี่ก็เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวในหลวงพระบางที่ไม่ควรพลาดอีกที่หนึ่งครับ มาที่นี่ได้ชมความสวยงามของพระราชวังแถมยังได้รู้ประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วครับ
ขอบคุณข้อมูลดีๆที่เป็นประโยชน์จาก louangprabang.net ครับ
0 ความคิดเห็น: