น้ำตกตาดแซ่ : หลวงพระบาง
การเดินทางเที่ยวหลวงพระบางในครั้งนี้ก็คงหนี้ไม่พ้นเรื่องขงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เหมือนอย่างเคยครับ การเดินทางเที่ยวลาวในครั้งนี้ เราขอนำเพื่อนๆนักเที่ยวไปสู่จุดหมายปลายทางกันที่ “น้ำตกตาดแซ่” ที่เมืองหลวงพระบางนั่นเองครับ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและนักเที่ยวอย่างเราๆนั้นไม่ควรพลาดเลยนั่นเอง สมกับที่ใครๆเขาต่างให้สมยานามว่า หลวงพระบาง เมืองมรดกโลก จริงๆครับ ที่นี่มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้เราได้ตื่นเต้นอยู่เสมอๆนั่นเอง
น้ำตกตาดแซ่ (Tadsae Waterfall) เป็นแอ่งน้ำสีเขียวมรกตขนาดใหญ่ที่รายลอบไปด้วยความร่มรื่นของต้นไม้น้อยใหญ่ และด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก ทำให้ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ น้ำตกตาดแซะจะมีผู้คนทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวออกมาเล่นน้ำกันเป็นจำนวนมาก
การเดินทางห่างออกไปจากหลวงพระบางไม่ไกลนัก ประมาณ 15 กิโลเมตร เท่านั้นเองครับ น้ำตกตาดแซ่แห่งนี้ เป็นน้ำตกที่เราจะต้องนั่งเรือต่อเข้าไปครับ เรียกได้ว่าการเดินทางนั้นก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดครับ เราจะล่องเรือตามแม่น้ำคาน เมื่อไปถึงจะต้องเดินเข้าไปอีกเล็กน้อยประมาณ 100 เมตรครับ เราจะพบกับด่านเก็บค่าผ่านประตู น้ำตกแห่งนี้เป็นสถานที่ แนะนำให้เล่นน้ำครับเตรีมชุดมาเลย จัดเวลามาเล่นสัก2-3 ชั่วโมงรับรองสนุกไม่ลืมเลย
ลักษณะน้ำตกเป็นน้ำตกหินปูน เหมือนอ่างน้ำขนาดใหญ่ ที่ไหลเป็นลำธารลงสู่แม่น้ำอีกทีหนึ่ง น้ำใสกิ๊ก แม้แต่ลำน้ำที่เราล่องเข้าไปที่น้ำตกตาดแซ่ก็ใสมากๆ ขอบอก ผมแนะนำเลยว่าจัดเวลามาเล่นน้ำไว้ด้วยนะครับ เพราะถ้ามีเวลาน้อยจะเสียใจเดี๋ยวหาว่าไม่บอก เพราะน้ำตกสวยงามมาก น้ำใสเป็นสีเขียวและไม่ลึก เหมือนอ่างอาบน้ำซะมากกว่า
เมื่อเพื่อนๆเดินทางมาถึงที่นี้แล้วก็ไม่ต้องกลัวเรื่องของอาหารการกินครับ เพราะเพื่อนๆสามารถสั่งอาหาร และเครื่องดื่มจากร้านค้าในบริเวณน้ำตก เพื่อมานั่งรับประทานอาหารได้ด้วย บริเวณน้ำตกแห่งนี้ จะมีเก้าอี้หินให้บริการตมบริเวณแอ่งน้ำรอบๆน้ำตก ให้พักผ่อนได้ตามอัธยาศัย ยังไงก็ขอความร่วมมือรักษาความสะอาดกันด้วยนะครับ
ค่าใช้จ่ายคราวๆ สำหรับทริปนี้ครับ ค่าเรือแบบเหมา ถ้ามา 1-3 คน ก็คิดแบบเหมา 20,000 กีบครับ แต่ถ้ามา 4-10 คน คิดค่าเรือเป็นคนล่ะ 5,000 กีบ ส่วนค่าเข้าชมน้ำตกก็คนล่ะ 8,000 กีบครับ
สุดท้ายนี้เราขอรับรองเลยว่า น้ำตกตาดแซ่ ที่หลวงพระบางแห่งนี้สวยงามไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนครับ
ขอบคุณข้อมูลดีๆที่น่าสนใจจาก luangprabang.sadoodta.com ที่ให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์สำหรับการเดินทางในครั้งนี้
ตาดกวางซี : หลวงพระบาง
ถ้าใครได้เดินทางมา เมือง “หลวงพระบาง” แห่งนี้ คงได้กลิ่นไอของวัฒนธรรมของเมืองมรดกโลกของประเทศลาวอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว หลวงพระบางที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองมรดกโลกนั้นเพราะมีวัฒนธรรมอันเก่าแก่ยาวนานครับ แต่จุดหมายปลายทางของการเดินทางสู่หลวงพระบางในครั้งนี้ เรามีจุดหมายอยู่ที่ “น้ำตกตาดกวางสี” หรือ “ตาดกวางซี” นั่นเองครับ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รวมถึงคนไทยด้วย ต่างเดินทางมาสัมผัสความสวยงามของน้ำตกแห่งนี้
น้ำตกกวางสี หรือ ตาดกวางซี ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงที่สุดของหลวงพระบางกันเลยก็ว่าได้ น้ำตกแห่งนี้อยู่นอกเมืองหลวงพระบางไปทางทิศใต้ประมาณ 30 กิโลเมตรเท่านั้นเองครับ สภาพทางเป็นถนนลาดยาง ทางคดเคี้ยวเล็กน้อย การเดินทางในครั้งนี้คงไม่ลำบากเท่าไหร่
ระหว่างการเดินทางเรามาฟังเรื่องราวของน้ำตกชื่อแปลกๆแห่งนี้กันดีกว่า ด้วยชื่อว่า น้ำตกกวางสี นั้นหมายถึง กวางหนุ่มที่เขาเพิ่งเริ่มงอก (ภาษาไทยเราเรียกกวางซีหรือกวางเขาซี)น้ำตกวางสี เป็นน้ำตกหินปูนครับ สูงราว 70 เมตรมีสองชั้น สภาพป่าร่มรื่น
ส่วนบริเวณด้านล่างน้ำตกนั้นจะมีสะพานและเส้นทางให้เดินในชมในมุมต่างๆ ให้เพื่อนๆได้เก็บภาพกันครับ ตลอดจนมีที่นั่งให้ชมทิวทัศน์และพักผ่อนหย่อนใจได้ตามสบาย น้ำตกกวางสีมีน้ำไหลตลอดปี อากาศที่นี่เย็นสบาย แต่ช่วงที่สวยที่สุดก็คือ ช่วงปลายฝนต้นหนาวครับ เพราะน้ำจะใสมากๆ ป่าจะเขียวชอุ่ม
ที่นี่อนุญาตให้เล่นน้ำได้เป็นบางจุดนะครับ ตามป้ายเตือนไว้เท่านั้น สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากใกล้ชิดน้ำตกก็มีทางเดินด้านข้างให้เลาะไปยังชั้นบน ซึ่งควรระมัดระวังในการเดินเพราะจะเป็นเส้นทางที่ลื่นชันนั่นเอง นอกจากจะชื่นชมความงามของน้ำตกแล้ว ยังหาซื้อของที่ระลึกที่ทางเข้าน้ำตก ซึ่งเป็นสินค้าพื้นเมืองที่ทำจากไม่ไผ่เป็นของใช้หลายชนิด ก็เลือกซื้อเลือกหากันได้เลยครับ
การไปเที่ยวน้ำตกแห่งนี้จะต้องผ่านด่านตรวจซึ่งปิดในเวลา 15.00 น. นักท่องเที่ยวอย่างเราๆท่านๆจึงควรไปให้ถึงก่อนเวลา น้ำตกกวางสีมักมีชาวหลวงพระบางนิยมไปเที่ยวกัน โดยเฉพาะในยามมีงานบุญหรือเทศกาล ตามเส้นทางสู่น้ำตกกวางสี เพื่อนๆอาจจะได้พบกับวิถีชีวิตอันแท้จริงของบรรดาชนเผ่าในลาว โดยเฉพาะหมู่บ้านลาวเทิง เรียกว่าเป็นของแถมก็แล้วกันครับ
ก่อนที่จะเข้าสู่น้ำตกกวางสีนั้นบริเวณด้านหน้าทางเข้า นักท่องเที่ยวจะพบร้านอาหารตามสั่งมากมาย ร้านอาหารประเภทปิ้งปลา ปิ้งไก่ ส้มตำ และเหล้าเบียร์ให้บริการอยู่หลายร้าน เรียกได้ว่าเรื่องอิ่มท้องก็มาอิ่มเอาข้างหน้าก็แล้วกันครับ
ที่น้ำตกกวางสีแห่งนี้ มีการเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าชมด้วยนะครับ คนละ 10,000 กีบ หรือประมาณ 40 บาทเรานี่เองครับ และจะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 06.00 - 17.30 น.
สำหรับการเดินทางไปน้ำตกกวางสีนั้นเพื่อนๆไม่ต้องกังวนเพราะมีรถจัมโบ้ออกจากตลาดชาวเขาหรือตลาดม้ง ตรงสี่แยกกลางเมือง แต่หากไปกันน้อยคนจะต้องรอจนกว่าผู้โดยสารจะเต็มก่อนนะครับรถจึงจะออก หรือไม่งั้นก็ต้องเหมารถไปครับ
สุดท้ายอย่าลืมเก็บภาพความประทับใจกับการเดินทางมาเยือน “น้ำตกกวางสี” ที่หลวงพระบางแห่งนี้ก็ด้วยนะครับ และขอขอบคุณข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่นำมาเล่าสู่กันฟังจาก lannatouring.com ครับ
ถ้ำติ่ง : หลวงพระบาง
หลวงพระบาง เมืองนี้มีอะไรให้เราตื่นเต้นอยู่เสมอๆในการมาเยือนแต่ล่ะครั้ง สถานที่ท่องเที่ยวในหลวงพระบางในวันนี้ บอกเอาไว้ก่อนเลยว่าเป็นการท่องเที่ยวแบบผสมผสานระหว่างการผจญภัยนิดๆพร้อมกับการท่องเที่ยวแสวงบุญ ปลายทางการเดินทางในครั้งนี้อยู่ที่ “ถ้ำติ่ง”
การเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดครับ เพราะเราจะนั่งเรื่อไปนั่นเอง (ส่วนท่านใดที่ไม่ชอบการนั่งเรื่องจะขอบายตอนนี้ก็ยังไม่สายนะ) ที่ต้องเดินทางทางเรือนั่นก็เพราะว่า ถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ในภูเขาลูกใหญ่ตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำโขง อยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านปากอูนั่นเองครับ
เริ่มจากเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 13 เหนือ ต่อด้วยทางลูกรังผ่านหมู่บ้านช่างไหจนถึงหมู่บ้านปากอู จากนั้นก็นั่งเรือข้ามฟากแม่น้ำโขงมายังถ้ำติ่ง แต่เพื่อนๆนักท่องเที่ยวก็สามารถนั่งเรือล่องแม่น้ำโขงจากหลวงพระบาง จะใช้เวลาไป-กลับประมาณ 2 ชั่วโมง ชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางแม่น้ำโขงก็ได้ แล้วแต่สะดวกครับ
ถ้ำติ่งนั้นมีอยู่ 2 ถ้ำด้วยกันคือ ถ้ำติ่งล่างและถ้ำติ่งบน ถ้ำติ่งล่าง หรือ ถ้ำลุ่ม ในภาษาลาว อยู่เหนือจากท่าจอดเรือเล็กน้อย บริเวณหน้าปากถ้ำมีรูปแกะสลักจิ้งจอก 2 ตัวทาสีขาวหันหัวเข้าหากัน ตรงบริเวณโขดหิน แทนสัญลักษณ์ว่าเป็นจุดที่แม่น้ำ 2 สายไหลมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำโขงและแม่น้ำอู โดยถ้ำติ่งลุ่ม มีลักษณะเป็นโพรงตื้นๆ สูงประมาณ 60 เมตร มีหินงอกหินย้อยเล็กน้อย ตามความเชื่อโบราณกล่าวว่าจะมีสิ่งของมีค่าซ่อนอยู่ภายในถ้ำ
ถ้ำติ่งในวันนี้แสดงถึงยุคแห่งการปฏิวัติความเชื่อ ของชาวลาวในอดีตครับ ที่เคยนับถือพวกผี พระเจ้าโพธิสารราชทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนา เป็นผู้นำพุทธศาสนาเข้ามา และทรงใช้ถ่ำติ่งแห่งนี้ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนานั่นเอง และได้มีการค้นพบพระพุทธรูป ที่สร้างขึ้นในคริสศตวรรษที่ 18-19 กว่า 2,500 องค์ ส่วนใหญ่ทำขึ้นจากไม้ เมื่อตอนค้นพบใหม่ๆนั้นมีพระพุทธรูปจำนวนหนึ่ง ที่ทำด้วยเงิน และทองคำ แต่ถูกลอกออกไปหมด นับแต่นั้นเป็นต้นมา ถ้ำติ่งจึงเป็นถ้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ ในช่วงสงกรานต์ชาวหลวงพระบางนิยมนั่งเรือทวนน้ำโขง เพื่อมาสรงน้ำพระพุทธรูปในถ้ำติ่งกัน และยังนำพระพุทธรูปทั้งที่หล่อด้วยโลหะหรือแกะสลักด้วยไม้มาถวายเพิ่มด้วย โดยถือเป็นโอกาสท่องเที่ยวปีใหม่ด้วยในตัว
สำหรับถ้ำติ่งเทิง (บน) หรือ ถ้ำติ่งบนนั้น ก็มีทางแยกซ้ายเดินขึ้นบันไดไป 218 ขั้น สองข้างทางร่มรื่นด้วยเงาไม้ ลักษณะถ้ำติ่งบนจะเป็นปากถ้ำไม่ลึกมาก มีพระพุทธรูปอยู่ภายในถ้ำแต่ไม่เยอะเท่าถ้ำติ่งล่าง ที่ปากถ้ำมีไฟฉายให้เช่าสำหรับไปส่องดูภายในถ้ำด้วยนะครับ
สำหรับการเดินทางมาเที่ยวที่ถ้ำติ่งแห่งนี้นั้น ที่นี่ก็มีค่าธรรมเนียมการเข้าชมกันด้วยนะครับ ค่าเข้าชมถ้ำติ่งคนละ 10,000 กีบ เวลาเปิด 08.00 – 17.00 น. ครับ
นอกจากถ้ำติ่งแล้ว ที่บ้านหมู่บ้านปากอู่ยังมี วัดปากอูราชวรวิหาร ซึ่งมีความสวยงามากตั้งอยู่ด้วย เพื่อนๆก็ลองแวะเข้าไปชมกันได้นะครับ อยู่บริเวณหมู่บ้านปากอูเอง เป็นวัดเก่าแก่ที่น่าสนใจเช่นเดียวกับวัดเชียงทองในหลวงพระบางเลยก็ว่าได้ พระอุโบสถมีโครงสร้างสถาปัตยกรรมแบบลาว สภาพยังคงแบบเดิมอยู่น่าสนใจทีเดียวครับ
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก luangprabang.sadoodta.com ที่นำเสนอข้อมูลดีๆที่เป็นประโยชน์แก่นักท่องเที่ยวครับ

วัดศรีสะเกศ : วัดที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองเวียงจันทน์
เมื่อเราเยี่ยมชมความสวยงาม ความเก่าแก่ของ “หอพระแก้ว” กันแล้ว เราก็ต้องขอแนะนำเพื่อนๆ เดินทางมากันที่ “วัดศรีสะเกศ” วัดที่เก่าแก่ที่สุดวัดเดียวในเมืองเวียงจันทน์ สปป.ลาว สำหรับนักแสวงบุญแล้วที่นี่ไม่ควรพลาดกันเลย
ถ้าจะอธิบายถึงความเป็นมาของวัดแห่งนี้นั้นคงมีเรื่องราวมากมายที่เล่ายังไงก็ไม่หมด แต่ถ้าจะไม่เล่าก็ไม่ได้ เอาเป็นว่าขอเล่าเรื่องราวคราวๆก็แล้วกันครับ
วัดศรีสะเกศ แห่งนี้นั้นได้มีการสร้างขึ้นใน ค.ศ.1818 ก็อย่างที่บอกครับว่าเป็นวัดที่เก่าแก่และเป็นเพียงวัดเดียวในลาวเท่านั้น ที่ไม่ถูกสยามหรือประเทศไทยเราเผาเอานั่นเอง ตรงกลางของวัดศรีสะเกศนั้นจะเป็นโบสถ์ล้อมรอบด้วยระเบียงคต มีความสวยงาม สร้างแบบศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้นหรือแบบล้านช้างนั่นเองครับ
ในวัดศรีสะเกศแห่งนี้นั้นได้มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ 6840 องค์ วัดแห่งนี้มีชื่ออย่างเต็มๆ ว่า "วัดศีรษะเกศสตสหัสสาราม" แต่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่าวัดศรีสะเกศ นั้นก็เนื่องมาจากกล่าวกันมาว่า ยามพระเจ้าอนุวงศ์บรรทมอยู่ในพระราชวังนั้น จะต้องหันพระเศียรมายังทิศที่ตั้งของวัดนี้เสมอนั่นเอง

สำหรับการท่องเที่ยวในครั้งนี้นั้น เมื่อเพื่อนๆนักเที่ยวเดินทางมาที่นี้นั้นก็มีสิ่งที่น่าชมในวัด อย่างเช่น หอไตร ซึ่งจะยกคอสองเป็นชั้นคล้ายวัดไทยใหญ่หรือวัดพม่า แต่คัมภีร์ถูกกองทัพสยามนั้นอัญเชิญไปไว้ยังกรุงเทพฯ หมดแล้ว ส่วนผนังด้านในของพระระเบียงที่ล้อมรอบพระอุโบสถเอาไว้นั้น มีการเจาะซุ้มเล็กๆ ขึ้นสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปเงินและพระพุทธรูปดินเผา ส่วนใหญ่นั้นจะเป็นพระที่สร้างขึ้นที่นครเวียงจันทน์ในช่วงศตวรรษที่ 16 ถึง 19 นั่นเอง ระเบียงด้านตะวันตกนั้นก็เป็นที่เก็บรวบรวมเศษชิ้นส่วนพระพุทธรูปที่ถูกทำลายลงในสงครามปี 1828 ส่วนด้านหลังพระอุโบสถนั้นมีรางไม้รูปคล้ายพญานาคสองตัว เพื่อใช้เป็นรางสำหรับสรงน้ำพระในเทศกาลสงกรานต์โดยเฉพาะนั่นเองครับ ปัจจุบัน วัดศรีสะเกศเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชของลาว เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในนครหลวงเวียงจันทน์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากๆอีกที่ ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ครับ
วัดที่มีความเก่าแก่และสมบูรณ์อย่าง วัดศรีสะเกศ แห่งนี้นั้น เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของลาวที่หาชมได้อยาก เกินอธิบายจริงๆ ครับ สำหรับการเดินทางในครั้งนี้
สุดท้ายเราต้องของขอบคุณความรู้ที่เป็นประโยชน์จาก lannatouring.com ที่นำความรู้เรื่องราวของ “วัดศรีสะเกศ” ให้นักเที่ยวอย่างเราๆท่านๆได้ทราบกัน
เที่ยวลาว หอพระแก้ว
หอพระแก้ว เวียงจันทร์ ที่ "อดีตเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต" สถานที่แห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก หอพระแก้วนั้นคือ สถานที่ที่เคยประดิษฐาน พระแก้วมรกต หรือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ตั้งอยู่ที่นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว นั่นเองครับ แต่ปัจจุบันนี้เหลือเพียงพระแท่นที่ประดิษฐานเท่านั้น เพราะพระแก้วมรกตองค์ปัจจุบันนั้น ได้ถูกอัญเชิญลงมาประทับที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทยเรานั่นเอง
ในช่วงสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เป็นผู้อัญเชิญ ถึงพระแก้วมรกตจะไม่ได้ประดิษฐานอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความศรัทธาของชาวลาวลดน้อยลง
แต่กลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนาแห่งนี้ได้แผ่คลุมทั่วบริเวณอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อมองดูพระวิหารที่ดำทะมึน อยู่ท่ามกลางแมกไม้ ความเก่าแก่ พร้อมสถาปัตยกรรมโบราณแต่ครั้งอดีตกาล และเมื่อเพื่อนๆได้เหยียบเข้าไปสู่ลานรอบบริเวณอันเป็นสถานที่เคยประดิษฐาน พระมหามณีรัตนปฏิมากรด้วยแล้วนั้น อยากบอกว่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ มันเป็นความรู้สึกที่ยากเกินอธิบายของสถานที่แห่งนี้ และยังมีนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังนครเวียงจันทน์ ก็นิยมเดินทางมาสักการะบูชาที่หอระแก้วนี้กันเป็นจำนวนมาก
หอพระแก้ว นั้นตั้งอยู่ตรงข้ามวัดสีสะเกด บนถนน เชษฐาธิราช ติดกับทำเนียบประธานประเทศ อยู่ใจกลางเมืองหลวงประเทศลาวเลยก็ว่าได้
สำหรับการเข้าชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่น่าสักการบูชาอย่าง “หอพระแก้ว” แห่งนี้นั้น เขามีค่าธรรมเนียมเข้าชมด้วยนะครับ ก็ประมาณ คนละ 5,000 กีบ (20 บาทไทย) เพื่อนๆสามารถเข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 08.00 – 12.00 น.และ 13.00 น. - 16.00 น.
หมายเหตุ : ภายในหอพระแก้ว ห้ามมีการถ่ายรูปทุกชนิดครับ
ถ้าเพื่อนๆเดินทางมาเที่ยวที่ หอพระแก้ว กันแล้ว เพื่อนๆไม่ควรพลาดกับอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจไม่แพ้ที่นี่เลย อยู่ตรงข้ามกับหอพระแก้วใกล้ๆนี้เอง นั่นก็คือ “วัดสีสะเกด” นั่นเองครับ ขอกระซิบเพื่อนๆเอาบุญแล้วกันครับว่า ความศักดิ์สิทธิของที่นี่นั้นก็ไม่แพ้ที่อื่นๆเลยครับ
ประตูชัย เวียงจันทน์ ประเทศลาว
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว เมื่อเพื่อนๆเดินทางมาถึงนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว นั้น จัดว่าอยู่ในทริปของการท่องเที่ยวหลักๆของเวียงจันทน์กันเลยก็ว่าได้ครับ เพราะเมื่อเพื่อนๆเดินทางเข้าไปนมัสการ “พระธาตุหลวงเวียงจันทน์” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สถานที่ต่อไปคงเป็นที่ไหนไม่ได้เลยนอกจาก “ประตูไซ” (Patuxai) หรือ ประตูชัย นั่นเองครับ
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของชาวลาวแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน เพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้ที่เสียสละชีวิต ในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์นั่นเองครับ ถ้าจะเล่าประวัติกันหน่อยคงไม่เสียหายอะไรนะครับ
ประตูชัยแห่งนี้สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2512 ครับ เรียกได้ว่าความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ยาวนานมากๆเลยครับ ก็อย่างที่บอกว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน ประตูชัยนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “รันเวย์แนวตั้ง” ครับ นั่นก็เพราะว่า การก่อสร้างประตูชัยแห่งนี้นั้น ใช้ปูนที่อเมริกาซื้อมาเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ในนครเวียงจันทน์ในระหว่าง สงครามอินโดจีนนั่นเอง แต่ก็ไม่ทันได้สร้างเลยก็เกิดแพ้สงครามในอินโดจีนเสียก่อน จึงมีการนำปูนซีเมนต์มาสร้างประตูชัยแทน
ความสวยงามของประตูชัยนั้นมีอยู่ที่ลักษณะสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นั่นเอง ถ้าเพื่อนเปรียบเทียบกันดูจะเห็นว่ามีส่วนที่คล้ายคลึงกันมาก แต่ลักษณะสถาปัตยกรรมนั้นก็ยังมีเอกลักษณ์ของลาวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปศิลปะลาว ภาพเรื่องราวมหากาพย์รามายณะ แบบปูนปั้นใต้ซุ้มประตูโค้งของประตูชัย บันไดวนให้ขึ้นไปชมทิวทัศน์ของนครเวียงจันทน์ และถ้าเพื่อนๆเดินขึ้นไป ตลอดบันไดวนของประตูชัยจะแบ่งออกเป็นชั้นๆ ซึ่งแต่ละชั้นนั้นก็จะมีร้านจำหน่ายของที่ระลึก เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นชมวิวทิวทัศน์ทุกวัน และในตอนเย็นจะมีประชาชนชาวลาว มาออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมร่วมกันที่นี่ด้วย
เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความเป็นมายาวนานและนักเดินทางอย่างเราไม่ควรพลาด สำหรับการเข้าชมสถานที่แห่งนี้นั้นต้องเสียค่าทำเนียมด้วยครับ
ค่าเข้าชม ผ่านประตูคนละ 2,000 กีบ (อัตราแลกเปลี่ยนก็ประมาณ 240-270 กีบ ต่อ 1 บาท)
เวลาเปิดให้เข้าชม ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น.
สุดท้ายขอฝากสถานที่แห่งนี้เอาไว้ด้วยนะครับ เมื่อเพื่อนๆมีโอกาสได้เดินทางไป นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว
ขอบคุณความรู้ที่เป็นประโยชน์จาก oceansmile.com ที่นำเสนอเรื่องราวของการท่องเที่ยวประเทศลาวมาเล่าสู่กันฟังครับ
พระธาตุหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว
“สบายดี” ขอกล่าวทักทายกันแบบลาวๆ ครับ สำหรับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “ลาว” นั้น เลื่องชื่อลือนามเป็นที่กล่าวขานกันในหมู่นักท่องเที่ยวที่มีโอกาสเดินทางไปสัมผัส ถึงเรื่องราวของวัฒนธรรม ประเพณีที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เรียกได้ว่าชาวลาวนั้นรักษาวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาเอาไว้ได้อย่างคงเส้นคงวากันเลยก็ว่าได้ครับ สำหรับนักเดินทางอย่างเราๆท่านๆแล้วได้ยินชื่อเสียงโด่งดังขนาดนี้ ถ้าได้ไปเหยียบสักครั้งคงไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เที่ยวลาววันนี้ เรานำเพื่อนๆมาอยู่กันที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่ประเทศลาว อย่าง “พระธาตุหลวงเวียงจันทน์” ครับ สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่ใครไม่ได้มากราบไหว้พระธาตุแห่งนี้เหมือนไม่ได้มาที่เวียงจันทน์ประเทศลาวครับ
พระธาตุหลวง ( Pha That Luang) แห่งนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า พระเจดีย์โลกะจุฬามณี เป็นปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งแห่งนครหลวงเวียงจันทน์เลยก็ว่าได้ เป็นศูนย์รวมใจของประชาชนชาวลาวทั่วประเทศนั่นเองครับ เพื่อนๆจะเชื่อไหมครับว่าพระธาตุแห่งนี้มีตำนานกล่าวมาว่า พระธาตุหลวงนี้นั้นมีประวัติการก่อสร้างมานับพันปีเช่นเดียวกันพระธาตุพนมในประเทศไทย และปรากฏความเกี่ยวพันกันทางประวัติศาสตร์ของดินแดนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงอย่างแยกไม่ออก พระธาตุหลวงเวียงจันน์นั้นเป็นพระธาตุใหญ่ที่มีความสวยงามที่สุดในสปป.ลาว สร้างโดยช่างโบราณของลาว มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรมรวมถึงเป็นตัวแทนของสถาปัตยกรรมของลาว ล้านช้าง ด้านหน้านั้นมีอนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ประดิษฐานอยู่ ส่วนองค์พระธาตุหลวงนั้นมีสีเหลืองอร่ามดุจทองที่ปรากฏอยู่ด้านหลังอนุสาวรีย์นั้นนั่นเอง เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ในแต่ละปีจะมีงานนมัสการพระธาตุหลวงที่ยิ่งใหญ่ในคืนเพ็ญเดือน 12 ถือเป็นงานทียิ่งใหญ่ระดับชาติ ที่นักเดินทางอย่างเราๆนั้นไม่ควรพลาดที่จะไปเก็บภาพสวยๆพร้อมกับนมัสการพระธาตุหลวงเอาบุญกันด้วย
ถ้าเราเดินเข้ามาในเขตของวัดพระธาตุหลวง โดยจะผ่านซุ้มประตูสีขาวที่มองดูโดดเด่นสวยงาม จะเห็นลานวัดกว้างขวาง และกว่าเราจะเดินไปถึงเจดีย์พระธาตุหลวงนั้นก็ไกลพอสมควรครับ แต่ระยะทางก็ไม่ได้ทำให้เราเหนื่อยมากนักถ้าแลกกับภาพสวยๆที่ได้ แต่ก่อนที่จะเข้าไปพื้นที่ภายในพระธาตุหลวงนั้น ก็มีกำแพงล้อมรอบ เราจะเห็นอนุสาวรีย์อดีตกษัตริย์นักรบลาวประทับนั่งเป็นสง่าอยู่หน้าพระธาตุเจดีย์ ก่อนจะเข้าไปด้านใน กษัตริย์องค์นี้พระนามว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ทรงเป็นกษัตริย์ล้านช้าง (นครเชียงทอง) องค์ที่ 45 นั่นเองครับ และในวันสำคัญทางศาสนา ชาวลาวจากทั่วสารทิศเลยจะเดินทางมาทำบุญกันอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสอง วันลอยกระทาง หรือวันยี่เป็ง ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
พระธาตุหลวงเวียงจันทน์แห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งครับ เมื่อมีโอกาสได้เดินทางมา เมืองหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาวแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่พลาดไม่ได้เลยครับสำหรับนักท่องเที่ยวมือสมัครเล่นจนถึงมืออาชีพ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก tripdeedee.com และ travel.thaiza.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Website© 2013 เที่ยวลาว and Blogger Templates
0 ความคิดเห็น: