ครับ
วัดแสนสุขาราม : หลวงพระบาง
อีกหนึ่งวัดครับ ที่เรานำมาแนะนำกัน จุดเด่นของที่นี่นั้นอยู่ที่ พระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ ที่มีอยู่เพียงองค์เดียวในหลวงพระบางนั่นเองครับ ก็คงเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก วัดแสนสุขาราม นั่นเอง หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว มรดกทางวัฒนธรรมที่น่าไปสัมผัสและเยี่ยมชมอีกหนึ่งสถานที่
วัดแสนสุขาราม เป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกสร้าง ภายหลังหลวงพระบาง
แยกออกจากนครเวียงจันทร์ได้ 11 ปี ครับ เดิมนั้นบริเวณที่สร้างวัดแสนสุขาราม
เคยมีวัดเก่าอยู่ก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว วัดแสนสุขารามถูกสร้างขึ้นเมื่อ
คริสตวรรษที่ 15 สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดก็คือ พระยืนที่สูง ที่บอกไปตอนแรก เป็นพระยืนองค์ใหญ่ที่สุดในหลวงพระบาง
มีพระพักตร์ที่งดงามผ่องแผ้ว
ส่วนข้างหอพระยืนนั้นมีหอรอยพระพุทธบาทจำลอง และพระอุโบสถดูงดงามอลังการด้วยการทาสีแดง
และเขียนภาพสีทองลงบนพื้นแดง ภายในมีการตกแต่งประดับประดา ที่มีสีสัน
สวยสดงดงามหาที่ติไม่ได้ พระประธานเองนั้นก็มีความงามชดช้อย
ถ้าจะว่ากันไปตามประวัติแล้วนั้น
วัดแสนสุขาราม ได้รับการบูรณะ 2 ครั้ง แล้วครับ
ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2475 ครั้งที่สองเมื่อพ.ศ. 2500 ลวดลายความสวยงามที่เห็นด้วยการปิดทองนั้น
ได้รับการบูรณะเมื่อ คริสศตวรรษที่ 20 โดยช่างชาวหลวงพระบางนั่นเองครับ
เห็นฝีมือช่างแล้วก็..สุดยอดจริงๆครับเมื่อมาหลวงพระบาง
เที่ยววัดแสนสุขาราว ต้องมาชมพระยืนครับ มีเพียงองค์เดียวในหลวงพระบาง
แล้วจะรู้ว่าสวยงามแค่ไหน
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก luangprabang.sadoodta.com ครับ
ข้อมูลการเดินทางไปลาว
วัดวิชุนราช หรือ วัดพระธาตุหมากโม : หลวงพระบาง
มรดกทางวัฒนธรรมที่สัมผัสได้ในเมืองหลวงพระบางยังมีอีกมากมายที่รอให้นักเที่ยวอย่างเราไปพิสูจน์ครับ อย่างการเดินทางในวันนี้ก็เหมือนกันครับ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เห็นแล้วก็คงหาที่เปรียบไม่ได้อีกนั่นแหละ สถานที่ท่องเที่ยวลาวในวันนี้ เรามาอยู่กันที่ วัดวิชุนราช หรือ วัดหมากโม : วัดพระธาตุหมากโม หลวงพระบาง นั่นเองครับ สำหรับเพื่อนๆที่เดินทางไปแล้วก็คงจะทราบดีถึงความศรัทธาของที่นี่ แต่สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่กำลังจะเดินทางไปหรือกำลังหาข้อมูลการเดินทางไปลาวอยู่นั้น วันนี้เรานำข้อมูลดีๆ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้มาฝากกัน เอาเป็นว่ารู้ไว้ก่อนเดินทางไปเที่ยวก็ดีครับ
ในบรรดาวัดทั้งหมดในเมืองหลวงพระบางเป็นต้องยกนิ้วให้วัดวิชุนเลยครับ เพราะอะไรนะเหรอ..ก็ในเรื่องความแปลกที่พระธาตุมีรูปร่างโค้งมนเหมือนผลแตงโม และเจดีย์รูปทรงแปลกตา ที่กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรมของลาวยกให้มีความสำคัญและความโดดเด่นของวัดวิชุนนั่นเองครับ
ย้อนกลับไป.. วัดวิชุนราชนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อประดิษฐาน พระบาง ซึ่งอาราธนามาจากเมืองเวียงคำ นั่นเอง ภายในวัดวิชุนราชมีปทุมเจดีย์หรือพระธาตุดอกบัวใหญ่ ซึ่งพระนางพันตีนเชียง พระอัครมเหสีของพระเจ้าวิชุนราชโปรดฯให้สร้างขึ้นในพ.ศ. 2057
หลังจากสร้างวัดแล้ว 11 ปี ด้วยรูปทรงของเจดีย์ที่มีลักษณะคล้ายแตงโมผ่าครึ่ง ทำให้ชาวเมืองหลวงพระบางเรียกว่า พระธาตุหมากโม เป็นทรงโอคว่ำ ยอดพระธาตุมีลักษณะคล้ายรัศมีแบบเปลวไฟของพระพุทธรูปแบบลังกาหรือสุโขทัย บริเวณมุมฐานชั้นกลางและชั้นบนมีเจดีย์ทิศทรงบัวตูมทั่งสี่มุม พระธาตุหมากโมนี้มีสีดำเก่าๆ แม้จะเคยผ่านการบูรณะปฎิสังขรมาแล้วสองครั้ง ในรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตสักรินทร์(คำสุก) ซึ่งเป็นพระราชบิดาของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์
อีก 19 ปีต่อมา ในปี พ.ศ.2457 ในรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์มีการปฎิสังขรอีกครั้ง ซึ่งการบูรณะในครั้งนี้ได้พบโบราณวัตถุมากมาย เช่น เจดีย์ทองคำ พระพุทธรูปหล่อสำริด พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปเงิน โดยเฉพาะพระพุทธรูปที่แกะสลักจากแก้วซึ่งคล้ายกับพระแก้วมรกต โบราณวัตถุเหล่านี้ได้นำถวายเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ และเก็บรักษาไว้ในพระราชวังหลวงพระบางในปัจจุบัน
ข้อมูลจาก oceansmile.com
ถัดจากพระธาตุหมากโมนั้นเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถที่มีอาคารเป็นรูปแบบสิบสองปันนา หลังคาคลุมลาดคลุมทั้งสี่ด้าน จุดเด่นอยู่ที่คอชั้นสองจะยกระดับสูงขึ้นไปครับ สวนบนหลังคาประดับด้วย โหง่ รูปพญานาคสามเศียร และตรงกลางสันหลังคามีช่อฟ้าเป็นรูปปราสาทยอดฉัตรเล็กๆ ลดหลั่นหลายชั้นประดับอยู่ บริเวณหน้าต่างประดับด้วยลูกมะหวดขนาดใหญ่ บานประตูด้านหน้าทั้งสามช่องแกะสลักลงรักปิดทองรูปพระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม พระอินทร์ อย่างสวยงามตามแบบศิลปะเชียงขวางนั่นเอง
นอกจากนี้แล้วภายในพระอุโบสถนั้นก็ยังเป็นที่ประดิษฐานพระประธานขนาดใหญ่ที่สุดในหลวงพระบางและโบราณวัตถุ ที่เก็บรวบรวมมาจากวัดที่สร้างต่างๆภายในหลวงพระบางอีกด้วย นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวลาวที่ไม่ควรพลาดอีกที่ครับ เมื่อเดินทางมาที่เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว แห่งนี้
ข้อมูลการเดินทางไปลาว >>
วัดเชียงทอง : หลวงพระบาง
เที่ยวลาวในครั้งนี้ เราขอนำเพื่อนๆนักเที่ยวไปชมมรดกทางวัฒนธรรมของคนลาวกันครับ กับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเมืองหลวงพระบางแห่งนี้
วัดเชียงทอง ชื่อนี้นักเที่ยวอย่างเราๆท่านๆน่าจะเคยได้ยินชื่อกันมาบ้างแล้ว เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวลาวที่ไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาดเมื่อมาเหยียบที่หลวงพระบาง เมืองมรดกโลก
ที่นี่ ถือว่าเป็นฮไลท์ของการมาเยือนเมืองหลวงพระบาง ที่ยังไงๆก็หนีไม่พ้นการได้มาเที่ยวชม "วัดเชียงทอง" แห่งนี้ครับ วัดเชียงทองเป็นวัดที่มีความเก่าแก่สวยงามจนได้รับการยกย่องจากนักโบราณคดีว่าเป็นดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาวเลยก็ว่าได้ครับ
วัดเชียงทองนี้ได้ถูกสร้างขึ้นในระหว่าง พ.ศ. 2102-2103 โดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ผู้ครองอาณาจักรล้านช้าง และล้านนานั่นเองครับ สร้างขึ้นก่อนที่พระองค์จะย้ายเมืองหลวงมายังนครหลวงเวียงจันทน์ไม่นานนัก วัดนี้ถือว่าเป็น “ วัดประตูเมือง” และก็ยังเป็นท่าเทียบเรือด้านเหนือ สำหรับการเสด็จประพาสทางชลมารค ของกษัตริย์หลวงพระบางนั่นเองครับ วัดเชียงทองจึงได้รับการอุปถัมภ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะ ในสมัยเจ้ามหาชีวิต ศรีสว่างวงศ์ และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของลาวด้วย
สิ่งที่โดดเด่นและสะดุดตาเมื่อเข้ามาในเขตพุทธาวาส ก็คือลวดลายประดับตามฝาผนังพระอุโบสถต่างๆ ไกด์ที่นี่บอกว่าใช้กระจกสีที่นำเข้าจากญี่ปุ่น แล้วตัดให้เป็นชิ้นเล็กๆ ประดับให้เป็นลวดลาย บอกกล่าวเล่าเรื่องทางพุทธศาสนา และวิถีชีวิตของชาวหลวงพระบาง เดินชมพระอุโบสถหรือที่ภาษาลาวเรียกว่า“สิม” แม้ขนาดจะดูไม่ใหญ่โตแต่ก็แสดงถึงสถาปัตยกรรมทางศาสนาแบบหลวงพระบางแท้ๆ สิมวัดเชียงทอง นับเป็นสิมล้านช้างที่สมบูรณ์ที่สุด และมีความงามให้ชมกันทั่วทั้งหลัง ซึ่งหากมองไล่ไปจากด้านบนสุดก็จะเห็นเครื่องยอดที่คนลาวเรียกว่า “ช่อฟ้า” ลวดลายปราณีตสีทองอร่ามตาโดดเด่นอยู่กลางสันหลัง
รูปทรงของสิมที่อ่อนช้อยโค้งงามนี้นั้น มีหลังคาซ้อน 3 ชั้นลดหลั่นคลุมต่ำ ถือเป็นแบบฉบับของสิมแบบล้านช้าง ซึ่งไกด์ชาวลาว บอกว่า “คนลาวเปรียบสิมหลังคาโค้งต่ำอย่างสิมวัดเชียงทอง หรือวัดอีกหลายวัดในหลวงพระบางเป็นสิมสุภาพสตรี ส่วนสิมทรงสูงอย่างวัดทางเวียงจันทน์หรือวัดในเมืองไทยเป็นสิมสุภาพบุรษ” นั่นเองครับ
สำหรับเสน่ห์ภาพชวนมองอีกอย่างหนึ่งก็คือ ลายประดับ “ดอกดวง” หรือกระจกสีรูป “ต้นทอง” ท่ามกลางสัตว์หลายชนิดที่แวดล้อมอยู่ ซึ่งหลวงพระบางในอดีตคือเมืองเชียงทองที่เต็มไปด้วยต้นทองอยู่เป็นจำนวนมาก ลายประดับดอกดวงนิทานพื้นบ้านและวิถีชีวิตชาวหลวงพระบางที่หอพระ 2 หลังข้างหลังสิมได้พูดถึงลายดอกดวงนี่ ไม่ใช่มีให้ชมแค่ที่หลังสิมเท่านั้นนะครับ ที่หอพระม่านและหอพระไสยาสน์ข้างหลังสิมก็มีลวดลายดอกดวงอันสวยงามบนผนังสีชมพู โดยลวดลายดวงดอกที่หอพระทั้งสองเป็นภาพคติสอนใจจากนิทานพื้นบ้านชื่อดังของลาวเรื่อง “สีเสลียว เสียวสวาด” และภาพวิถีชีวิตชาวหลวงพระบาง
ส่วนในหอพระม่านจะมี “พระม่าน” หนึ่งในพระคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบางประดิษฐานอยู่ ในวันปกติหอพระม่านจะปิดใส่กุญแจไว้ตลอด ครั้นพอถึงช่วงสงกรานต์ก็จะมีการอัญเชิญพระม่านลงมาให้คนทั่วไปได้กราบไหว้และสรงน้ำพระกัน ต่างจากหอพระไสยาสน์ที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมภายในได้ครับ
สำหรับสิ่งน่าสนใจที่วัดเชียงทองยังไม่หมดเพียงแค่นี้นะครับ เพราะจากด้านหน้าของสิมหากมองไปทางขวามือ ก็จะเห็นโรงราชรถหรือโรงเมี้ยนโกศ ที่เป็นโรงเก็บราชรถที่เคยใช้ในการอัญเชิญพระโกศของพระเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2504
โรงเมี้ยนโกศหลังนี้ มีสิ่งที่ชวนชมทั้งภายนอกและภายในเลยก็ว่าได้ครับ โดยภายนอกจะงดงามวิจิตรไปด้วยลวดลายแกะสลักไม้สีเหลืองอร่ามเรืองรอง ฝีมือของ “เพียตัน” (พระยาตัน) หนึ่งในสุดยอดช่างของลาว จากภายนอกเมื่อเข้าสู่ภายในโรงเมี้ยนโกศนั้นก็จะเห็นราชรถแกะสลักไม้สีทองเหลืองอร่ามทั้งคัน มีเศียรของพญานาค 5 เศียรยื่นออกมาจากด้านหน้าราชรถอย่างอ่อนช้อยสวยงามแฝงด้วยความขรึมขลังนั่นเองครับ
แม้ว่าวัดเชียงทองจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันสำคัญของหลวงพระบาง ที่ในแต่ละวันมีคนไปเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก แต่ว่าวัดเชียงทองก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยวิถีแห่งพุทธศาสนา
สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเที่ยวที่วัดเชียงทองแห่งนี้นั้น
ที่นี่จะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 06.00 a.m. – 05.30 p.m.
ค่าธรรมเนียมเข้าชม: 20.000 Kip/คน ครับ
ขอบคุณความรู้ที่เป็นประโยชน์จาก louangprabang.net และ atcloud.com
พระราชวังหลวงพระบาง
หลังจากเดินขึ้นบันได 328 ขั้น ตรงสู่ยอดเขาพูสี เพื่อชมพระอาทิตย์ตกดินและทิวทัศน์ของเมืองหลวงพระบาง เมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองมรดกโลก ก็สมกับที่ใครๆเขาว่ากันนั่นแหละครับ เพราะที่นี่เจ๋งจริงๆ เมื่อเดินลงจากยอดเขาพูสีหลังจากที่ชมความงามของที่นี่จนจุใจแล้ว ก็มาเดินตลาดมืดต่อ ที่ด้านล่างก่อนจะขึ้นยอดเขานั่นแหละครับ แต่ยังมีอีกสถานที่หนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่และแถมยังเป็นสถานที่สำคัญที่นักเที่ยวอย่างเราๆท่านๆก็ไม่ควรพลาดกันอีกด้วย เราไปรู้จักกับ พระราชวังหลวงพระบาง หรือ พิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง ว่าแล้ววันนี้เราจะไปเหยียบที่นี่กันครับ
พระราชวังหลวงพระบางเป็นอาคารแบบฝรั่งครับแต่หลังคาเป็นแบบทรงลาวๆ เรียกว่าผสมผสานกันได้อย่างลงตัวทีเดียวตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง หันหน้าเข้าสู่พระธาตุพูสี ส่วนตัวพระราชวังนั้นจะเป็นหมู่อาคารครับ
เตี้ยๆชั้นเดียว ที่ตั้งอยู่บนพื้นยกสูงนั้น มีความงดงามลงตัวของศิลปะยุคอาณานิคมผสมกับศิลปะแบบล้านช้าง สภาพโดยรอบนั้นก็มีความร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ไม่หนาจนเกินไป
พิพิธภัณฑ์หลวงพระบางแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2447 สมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ สืบทอดต่อมาถึงสมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของลาวครับ
ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือที่ชาวลาวเรียกว่า “การปลดปล่อย”นั้น รัฐบาลลาวก็ได้เปลี่ยนพระราชวังหลวงนั้นมาเป็น “หอพิพิธภัณฑ์” นั่นเองครับ รัฐบาลลาวใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงโบราณวัตถุและของมีค่า อาทิ บัลลังก์ ธรรมาสน์ เครื่องสูงและราชูปโภคของเจ้าชีวิ พระพุทธรูป และวัตถุโบราณ ของขวัญจากต่างประเทศต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือ พระบาง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองประดิษฐานอยู่ในหอไตร ทางปีกขวาของพระราชวังเป็นการชั่วคราว ระหว่างการบูรณะหอพระบางที่ด้านหน้าของพระราชวัง โดยภายในหอไตรนี้ยังมีพระไตรปิฎกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เคยพระราชทานให้กษัตริย์ลาวด้วยนะครับ
ลักษณะแผนผังของตัวพระราชวังประกอบด้วยอาคารขวางด้านหน้า หลังคามุงกระเบื้อง ตรงกลางมีมุขยื่นออกมา มีหน้าบันเป็นรูปช้าง 3 เศียร มีฉัตรกางอยู่ตรงกลางข้างบน อันเป็นสัญลักษณ์ของราชอาณาจักรลาวล้านช้างในระบอบเดิม
ตรงเข้าไปเป็นห้องฟังธรรมของเจ้ามหาชีวิตและท้องพระโรง เบื้องหลังท้องพระโรงเป็นอาคารที่มีหลังคาเป็นยอดปราสาทหลังเดียวมองเห็นเป็นสง่าเด่นชัดจากภายนอกตัวอาคาร แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ปีกทางด้านซ้ายมือเป็นห้องรับแขกของพระมเหสี ส่วนปีกทางด้านขวามือเป็นห้องรับแขกของเจ้ามหาชีวิตมีความสวยงามบรรยากาศเป็นแบบฝรั่งเศสปนลาว
ส่วนของห้องสุดท้ายของปีกด้านนี้ได้ถูกจัดให้เป็นห้องพระโดยเฉพาะ ภายในเป็นที่ประดิษฐานของ “พระบาง” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบางจึงกลายเป็นที่มาของชื่อ “เมืองหลวงพระบาง”อันหมายถึงเมืองที่มี “พระบาง” ประดิษฐานอยู่นั่นเองครับ
ถ้าหากท่านใดที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวที่นี่ ต้องเช็คกันหน่อยครับ เพราะที่นี่เขาเปิดให้เข้าชมทุกวันยกเว้นวันอังคารครับ โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลาคือ
ตอนเช้า 8.00 น. - 11.30 น. ปิดขายบัตรเข้าชมสำหรับภาคเช้าเวลา 11.00 น.
ตอนบ่าย 13.30 น. - 16.00 น. ปิดขายบัตรเข้าชมสำหรับภาคบ่ายเวลา 15.30น.
ค่าธรรมเนียมการเข้าชม 30.000 กีบ ครับ
หมายเหตุ ภายในพระราชวังหลวง ห้ามการถ่ายรูปทุกชนิดครับ
นี่ก็เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวในหลวงพระบางที่ไม่ควรพลาดอีกที่หนึ่งครับ มาที่นี่ได้ชมความสวยงามของพระราชวังแถมยังได้รู้ประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วครับ
ขอบคุณข้อมูลดีๆที่เป็นประโยชน์จาก louangprabang.net ครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Website© 2013 เที่ยวลาว and Blogger Templates
0 ความคิดเห็น: