วัดใหม่สุวรรณภูมาราม : หลวงพระบาง




จากหลายๆบทความที่ผ่านมากับการสถานที่ท่องเที่ยวลาว  เรามาหยุดอยู่ที่หลวงพระบาง  เมืองมรดกโลกที่ใครๆต่างก็ให้สมญานาม  มาที่นี่  เราจะได้กลิ่นไอของวัฒนธรรม  ประเพณีทางพระพุทธศาสนาที่อบอวนไปทั่วเมืองหลวงพระบางครับ  การเดินทางท่องเที่ยวในหลวงพระบางส่วนใหญ่นั้นก็จะเป็นการเที่ยวชมวัด  นมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์  สำหรับวันนี้ก็เช่นเดียวกันครับ  เรานำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวเอาบุญ  ที่ วัดใหม่สุวรรณภูมาราม ครับ สำหรับเพื่อนๆที่ยังไม่เคยไปมาศึกษาข้อมูลก่อนไปกับเราเลยครับ


วัดใหม่สุวรรณภูมารามหรือที่ชาวหลวงพระบางเรียกกันว่า "วัดใหม่" นั้นได้เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชบุญทัน ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์สุดท้ายของลาวนั่นเองครับ และก็ยังเคยเป็นที่ประดิษฐานพระบาง พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบางในรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตสักรินฤทธิ์ จนกระทั่งถึงปีพ.ศ. 2437 จึงได้อัญเชิญพระบางไปประดิษฐานในหอพระบางภายในพระราชวัง




เมื่อเรามาเยือนวัดแห่งนี้สิ่งที่เราจะสังเกตเห็นถึงความแตกต่างจากวัดอื่นๆนั่นก็คือ ตัวอุโบสถหรือที่เรียกกันว่าสิมนั้น สร้างด้วยไม้มีหลังคาซ้อนกัน ห้าชั้นตามแบบหลวงพระบาง ดูสวยงาม กำแพงพระระเบียงด้านหน้า ทำเป็นลายรดน้ำปิดทองเล่าเรื่องรามายณะ และพระเวสสันดรชาดก  ลักษณะสถาปัตยกรรม ตัวพระอุโบสถ จะเห็นว่ามีหลังคาขนาดใหญ่ มีชายคาปกคลุมทั้งสี่ด้าน สองระดับต่อเนื่องกัน บนยอดหลังคาเป็นหน้าจั่วขนาดใหญ่ และมีหลังคาเล็กๆ ซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่งด้วย หลังคาวัดแห่งนี้จะเป็นสถาปัตยกรรมแบบหลวงพระบางแท้ๆ หรือล้านช้างนั้นเองครับ



ส่วนภายในพระอุโบสถ มีพระพุทธรูปนับหมื่นนับแสนองค์บนผนังสีแดง คล้ายกับที่เคยพบเห็นในวัดบางแห่งของจังหวัดเชียงใหม่เรานั่นเอง ตรงกลางเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง มีพระพักตร์ที่งดงาม จัดเป็นกลุ่มพระพุทธรูปหลวงพระบางแบบหนึ่ง ตรงข้ามด้านหน้าพระอุโบสถมีอาคารก่ออิฐถือปูนหลังเล็กๆ 2 หลังขนาดต่างกัน ชาวลาวเรียกว่า "อูบมุง" ขนาบข้างพระธาตุทรงดอกบัวสี่เหลี่ยม อูบมุงหลังใหญ่หันหน้ามาทางพระอุโบสถ ภายในมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดค่อนข้างใหญ่ประดิษฐานอยู่ ส่วนอูบมุงหลังเล็กหันหน้าออกถนน บริเวณภายในวัดใหม่มีการจัดวางผังอาคารกลุ่มพุทธวาสและสังฆาวาสแยกออกเป็นสัดส่วน มีแนวต้นไม้เล็กๆคั่นอยู่


ปัจจุบันวัดใหม่ใช้เป็นโรงเรียนปริยัติธรรม ของหลวงพระบาง และในช่วงเทศกาลปีใหม่ของลาว จะมีการอัญเชิญ "พระบาง" ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบางมาไว้ที่ลานด้านหน้าของวัดใหม่แห่งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำกันครับ


สำหรับเพื่อนๆนักเที่ยวที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวที่วัดใหม่สุวรรณภูมารามนั้น วัดจะตั้งอยู่ที่ถนนศรีสว่างวงศ์  ใกล้กับพระราชวังหลวงพระบาง  เปิดให้เข้าชมเวลา 07.00 - 18.00 น. พร้อมกับค่าเข้าชม คนล่ะ 10,000 กีบ/คน  

ครับ ขอบคุณข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการท่องเที่ยวลาวจาก louangprabang.net


ข้อมูลการเดินทางไปลาว 

0 ความคิดเห็น:

วัดแสนสุขาราม : หลวงพระบาง



อีกหนึ่งวัดครับ ที่เรานำมาแนะนำกัน  จุดเด่นของที่นี่นั้นอยู่ที่ พระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ ที่มีอยู่เพียงองค์เดียวในหลวงพระบางนั่นเองครับ  ก็คงเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก วัดแสนสุขาราม นั่นเอง  หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว มรดกทางวัฒนธรรมที่น่าไปสัมผัสและเยี่ยมชมอีกหนึ่งสถานที่


วัดแสนสุขาราม เป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกสร้าง ภายหลังหลวงพระบาง แยกออกจากนครเวียงจันทร์ได้ 11 ปี ครับ เดิมนั้นบริเวณที่สร้างวัดแสนสุขาราม เคยมีวัดเก่าอยู่ก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว วัดแสนสุขารามถูกสร้างขึ้นเมื่อ คริสตวรรษที่ 15 สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดก็คือ พระยืนที่สูง ที่บอกไปตอนแรก เป็นพระยืนองค์ใหญ่ที่สุดในหลวงพระบาง มีพระพักตร์ที่งดงามผ่องแผ้ว



ส่วนข้างหอพระยืนนั้นมีหอรอยพระพุทธบาทจำลอง และพระอุโบสถดูงดงามอลังการด้วยการทาสีแดง และเขียนภาพสีทองลงบนพื้นแดง ภายในมีการตกแต่งประดับประดา ที่มีสีสัน สวยสดงดงามหาที่ติไม่ได้ พระประธานเองนั้นก็มีความงามชดช้อย


ถ้าจะว่ากันไปตามประวัติแล้วนั้น  วัดแสนสุขาราม ได้รับการบูรณะ 2 ครั้ง แล้วครับ  ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2475 ครั้งที่สองเมื่อพ.ศ. 2500 ลวดลายความสวยงามที่เห็นด้วยการปิดทองนั้น ได้รับการบูรณะเมื่อ คริสศตวรรษที่ 20 โดยช่างชาวหลวงพระบางนั่นเองครับ เห็นฝีมือช่างแล้วก็..สุดยอดจริงๆครับเมื่อมาหลวงพระบาง  เที่ยววัดแสนสุขาราว ต้องมาชมพระยืนครับ มีเพียงองค์เดียวในหลวงพระบาง แล้วจะรู้ว่าสวยงามแค่ไหน




ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก  luangprabang.sadoodta.com ครับ


ข้อมูลการเดินทางไปลาว



0 ความคิดเห็น:

วัดวิชุนราช หรือ วัดพระธาตุหมากโม : หลวงพระบาง


มรดกทางวัฒนธรรมที่สัมผัสได้ในเมืองหลวงพระบางยังมีอีกมากมายที่รอให้นักเที่ยวอย่างเราไปพิสูจน์ครับ   อย่างการเดินทางในวันนี้ก็เหมือนกันครับ  เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เห็นแล้วก็คงหาที่เปรียบไม่ได้อีกนั่นแหละ  สถานที่ท่องเที่ยวลาวในวันนี้  เรามาอยู่กันที่ วัดวิชุนราช หรือ วัดหมากโม : วัดพระธาตุหมากโม หลวงพระบาง  นั่นเองครับ  สำหรับเพื่อนๆที่เดินทางไปแล้วก็คงจะทราบดีถึงความศรัทธาของที่นี่  แต่สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่กำลังจะเดินทางไปหรือกำลังหาข้อมูลการเดินทางไปลาวอยู่นั้น  วันนี้เรานำข้อมูลดีๆ  สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้มาฝากกัน  เอาเป็นว่ารู้ไว้ก่อนเดินทางไปเที่ยวก็ดีครับ


ในบรรดาวัดทั้งหมดในเมืองหลวงพระบางเป็นต้องยกนิ้วให้วัดวิชุนเลยครับ เพราะอะไรนะเหรอ..ก็ในเรื่องความแปลกที่พระธาตุมีรูปร่างโค้งมนเหมือนผลแตงโม และเจดีย์รูปทรงแปลกตา  ที่กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรมของลาวยกให้มีความสำคัญและความโดดเด่นของวัดวิชุนนั่นเองครับ


ย้อนกลับไป.. วัดวิชุนราชนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อประดิษฐาน พระบาง ซึ่งอาราธนามาจากเมืองเวียงคำ นั่นเอง ภายในวัดวิชุนราชมีปทุมเจดีย์หรือพระธาตุดอกบัวใหญ่ ซึ่งพระนางพันตีนเชียง พระอัครมเหสีของพระเจ้าวิชุนราชโปรดฯให้สร้างขึ้นในพ.ศ. 2057

 



หลังจากสร้างวัดแล้ว 11 ปี ด้วยรูปทรงของเจดีย์ที่มีลักษณะคล้ายแตงโมผ่าครึ่ง  ทำให้ชาวเมืองหลวงพระบางเรียกว่า พระธาตุหมากโม เป็นทรงโอคว่ำ ยอดพระธาตุมีลักษณะคล้ายรัศมีแบบเปลวไฟของพระพุทธรูปแบบลังกาหรือสุโขทัย บริเวณมุมฐานชั้นกลางและชั้นบนมีเจดีย์ทิศทรงบัวตูมทั่งสี่มุม พระธาตุหมากโมนี้มีสีดำเก่าๆ แม้จะเคยผ่านการบูรณะปฎิสังขรมาแล้วสองครั้ง ในรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตสักรินทร์(คำสุก) ซึ่งเป็นพระราชบิดาของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ 


อีก 19 ปีต่อมา ในปี พ.ศ.2457 ในรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์มีการปฎิสังขรอีกครั้ง ซึ่งการบูรณะในครั้งนี้ได้พบโบราณวัตถุมากมาย เช่น เจดีย์ทองคำ พระพุทธรูปหล่อสำริด พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปเงิน โดยเฉพาะพระพุทธรูปที่แกะสลักจากแก้วซึ่งคล้ายกับพระแก้วมรกต โบราณวัตถุเหล่านี้ได้นำถวายเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ และเก็บรักษาไว้ในพระราชวังหลวงพระบางในปัจจุบัน

 

ข้อมูลจาก oceansmile.com 


ถัดจากพระธาตุหมากโมนั้นเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถที่มีอาคารเป็นรูปแบบสิบสองปันนา หลังคาคลุมลาดคลุมทั้งสี่ด้าน จุดเด่นอยู่ที่คอชั้นสองจะยกระดับสูงขึ้นไปครับ สวนบนหลังคาประดับด้วย โหง่  รูปพญานาคสามเศียร และตรงกลางสันหลังคามีช่อฟ้าเป็นรูปปราสาทยอดฉัตรเล็กๆ ลดหลั่นหลายชั้นประดับอยู่ บริเวณหน้าต่างประดับด้วยลูกมะหวดขนาดใหญ่ บานประตูด้านหน้าทั้งสามช่องแกะสลักลงรักปิดทองรูปพระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม พระอินทร์ อย่างสวยงามตามแบบศิลปะเชียงขวางนั่นเอง


นอกจากนี้แล้วภายในพระอุโบสถนั้นก็ยังเป็นที่ประดิษฐานพระประธานขนาดใหญ่ที่สุดในหลวงพระบางและโบราณวัตถุ ที่เก็บรวบรวมมาจากวัดที่สร้างต่างๆภายในหลวงพระบางอีกด้วย  นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวลาวที่ไม่ควรพลาดอีกที่ครับ  เมื่อเดินทางมาที่เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว แห่งนี้

ข้อมูลการเดินทางไปลาว >>


0 ความคิดเห็น:

วัดเชียงทอง : หลวงพระบาง



เที่ยวลาวในครั้งนี้  เราขอนำเพื่อนๆนักเที่ยวไปชมมรดกทางวัฒนธรรมของคนลาวกันครับ  กับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเมืองหลวงพระบางแห่งนี้

วัดเชียงทอง  ชื่อนี้นักเที่ยวอย่างเราๆท่านๆน่าจะเคยได้ยินชื่อกันมาบ้างแล้ว  เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวลาวที่ไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาดเมื่อมาเหยียบที่หลวงพระบาง  เมืองมรดกโลก 


ที่นี่  ถือว่าเป็นฮไลท์ของการมาเยือนเมืองหลวงพระบาง ที่ยังไงๆก็หนีไม่พ้นการได้มาเที่ยวชม "วัดเชียงทอง"  แห่งนี้ครับ  วัดเชียงทองเป็นวัดที่มีความเก่าแก่สวยงามจนได้รับการยกย่องจากนักโบราณคดีว่าเป็นดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาวเลยก็ว่าได้ครับ


วัดเชียงทองนี้ได้ถูกสร้างขึ้นในระหว่าง พ.ศ. 2102-2103 โดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ผู้ครองอาณาจักรล้านช้าง และล้านนานั่นเองครับ สร้างขึ้นก่อนที่พระองค์จะย้ายเมืองหลวงมายังนครหลวงเวียงจันทน์ไม่นานนัก วัดนี้ถือว่าเป็น “ วัดประตูเมือง” และก็ยังเป็นท่าเทียบเรือด้านเหนือ สำหรับการเสด็จประพาสทางชลมารค ของกษัตริย์หลวงพระบางนั่นเองครับ วัดเชียงทองจึงได้รับการอุปถัมภ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะ ในสมัยเจ้ามหาชีวิต ศรีสว่างวงศ์ และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของลาวด้วย




สิ่งที่โดดเด่นและสะดุดตาเมื่อเข้ามาในเขตพุทธาวาส ก็คือลวดลายประดับตามฝาผนังพระอุโบสถต่างๆ ไกด์ที่นี่บอกว่าใช้กระจกสีที่นำเข้าจากญี่ปุ่น แล้วตัดให้เป็นชิ้นเล็กๆ ประดับให้เป็นลวดลาย บอกกล่าวเล่าเรื่องทางพุทธศาสนา และวิถีชีวิตของชาวหลวงพระบาง เดินชมพระอุโบสถหรือที่ภาษาลาวเรียกว่า“สิม” แม้ขนาดจะดูไม่ใหญ่โตแต่ก็แสดงถึงสถาปัตยกรรมทางศาสนาแบบหลวงพระบางแท้ๆ  สิมวัดเชียงทอง นับเป็นสิมล้านช้างที่สมบูรณ์ที่สุด และมีความงามให้ชมกันทั่วทั้งหลัง ซึ่งหากมองไล่ไปจากด้านบนสุดก็จะเห็นเครื่องยอดที่คนลาวเรียกว่า “ช่อฟ้า” ลวดลายปราณีตสีทองอร่ามตาโดดเด่นอยู่กลางสันหลัง


รูปทรงของสิมที่อ่อนช้อยโค้งงามนี้นั้น มีหลังคาซ้อน 3 ชั้นลดหลั่นคลุมต่ำ ถือเป็นแบบฉบับของสิมแบบล้านช้าง ซึ่งไกด์ชาวลาว บอกว่า “คนลาวเปรียบสิมหลังคาโค้งต่ำอย่างสิมวัดเชียงทอง หรือวัดอีกหลายวัดในหลวงพระบางเป็นสิมสุภาพสตรี ส่วนสิมทรงสูงอย่างวัดทางเวียงจันทน์หรือวัดในเมืองไทยเป็นสิมสุภาพบุรษ” นั่นเองครับ



สำหรับเสน่ห์ภาพชวนมองอีกอย่างหนึ่งก็คือ ลายประดับ “ดอกดวง” หรือกระจกสีรูป “ต้นทอง” ท่ามกลางสัตว์หลายชนิดที่แวดล้อมอยู่ ซึ่งหลวงพระบางในอดีตคือเมืองเชียงทองที่เต็มไปด้วยต้นทองอยู่เป็นจำนวนมาก ลายประดับดอกดวงนิทานพื้นบ้านและวิถีชีวิตชาวหลวงพระบางที่หอพระ 2 หลังข้างหลังสิมได้พูดถึงลายดอกดวงนี่ ไม่ใช่มีให้ชมแค่ที่หลังสิมเท่านั้นนะครับ ที่หอพระม่านและหอพระไสยาสน์ข้างหลังสิมก็มีลวดลายดอกดวงอันสวยงามบนผนังสีชมพู โดยลวดลายดวงดอกที่หอพระทั้งสองเป็นภาพคติสอนใจจากนิทานพื้นบ้านชื่อดังของลาวเรื่อง “สีเสลียว เสียวสวาด” และภาพวิถีชีวิตชาวหลวงพระบาง


ส่วนในหอพระม่านจะมี “พระม่าน” หนึ่งในพระคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบางประดิษฐานอยู่ ในวันปกติหอพระม่านจะปิดใส่กุญแจไว้ตลอด ครั้นพอถึงช่วงสงกรานต์ก็จะมีการอัญเชิญพระม่านลงมาให้คนทั่วไปได้กราบไหว้และสรงน้ำพระกัน ต่างจากหอพระไสยาสน์ที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมภายในได้ครับ 


สำหรับสิ่งน่าสนใจที่วัดเชียงทองยังไม่หมดเพียงแค่นี้นะครับ เพราะจากด้านหน้าของสิมหากมองไปทางขวามือ ก็จะเห็นโรงราชรถหรือโรงเมี้ยนโกศ ที่เป็นโรงเก็บราชรถที่เคยใช้ในการอัญเชิญพระโกศของพระเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2504


โรงเมี้ยนโกศหลังนี้ มีสิ่งที่ชวนชมทั้งภายนอกและภายในเลยก็ว่าได้ครับ โดยภายนอกจะงดงามวิจิตรไปด้วยลวดลายแกะสลักไม้สีเหลืองอร่ามเรืองรอง ฝีมือของ “เพียตัน” (พระยาตัน) หนึ่งในสุดยอดช่างของลาว  จากภายนอกเมื่อเข้าสู่ภายในโรงเมี้ยนโกศนั้นก็จะเห็นราชรถแกะสลักไม้สีทองเหลืองอร่ามทั้งคัน  มีเศียรของพญานาค 5 เศียรยื่นออกมาจากด้านหน้าราชรถอย่างอ่อนช้อยสวยงามแฝงด้วยความขรึมขลังนั่นเองครับ


แม้ว่าวัดเชียงทองจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันสำคัญของหลวงพระบาง ที่ในแต่ละวันมีคนไปเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก แต่ว่าวัดเชียงทองก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยวิถีแห่งพุทธศาสนา


สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเที่ยวที่วัดเชียงทองแห่งนี้นั้น 

ที่นี่จะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 06.00 a.m. – 05.30 p.m.
ค่าธรรมเนียมเข้าชม:  20.000 Kip/คน ครับ


ขอบคุณความรู้ที่เป็นประโยชน์จาก louangprabang.net และ atcloud.com


0 ความคิดเห็น:

พระราชวังหลวงพระบาง


หลังจากเดินขึ้นบันได  328 ขั้น ตรงสู่ยอดเขาพูสี เพื่อชมพระอาทิตย์ตกดินและทิวทัศน์ของเมืองหลวงพระบาง เมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองมรดกโลก ก็สมกับที่ใครๆเขาว่ากันนั่นแหละครับ  เพราะที่นี่เจ๋งจริงๆ เมื่อเดินลงจากยอดเขาพูสีหลังจากที่ชมความงามของที่นี่จนจุใจแล้ว ก็มาเดินตลาดมืดต่อ ที่ด้านล่างก่อนจะขึ้นยอดเขานั่นแหละครับ แต่ยังมีอีกสถานที่หนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่และแถมยังเป็นสถานที่สำคัญที่นักเที่ยวอย่างเราๆท่านๆก็ไม่ควรพลาดกันอีกด้วย เราไปรู้จักกับ พระราชวังหลวงพระบาง หรือ พิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง ว่าแล้ววันนี้เราจะไปเหยียบที่นี่กันครับ


พระราชวังหลวงพระบางเป็นอาคารแบบฝรั่งครับแต่หลังคาเป็นแบบทรงลาวๆ เรียกว่าผสมผสานกันได้อย่างลงตัวทีเดียวตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง หันหน้าเข้าสู่พระธาตุพูสี ส่วนตัวพระราชวังนั้นจะเป็นหมู่อาคารครับ




เตี้ยๆชั้นเดียว ที่ตั้งอยู่บนพื้นยกสูงนั้น มีความงดงามลงตัวของศิลปะยุคอาณานิคมผสมกับศิลปะแบบล้านช้าง สภาพโดยรอบนั้นก็มีความร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ไม่หนาจนเกินไป
พิพิธภัณฑ์หลวงพระบางแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2447 สมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ สืบทอดต่อมาถึงสมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของลาวครับ

 ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือที่ชาวลาวเรียกว่า “การปลดปล่อย”นั้น รัฐบาลลาวก็ได้เปลี่ยนพระราชวังหลวงนั้นมาเป็น  “หอพิพิธภัณฑ์”  นั่นเองครับ รัฐบาลลาวใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงโบราณวัตถุและของมีค่า อาทิ บัลลังก์ ธรรมาสน์ เครื่องสูงและราชูปโภคของเจ้าชีวิ พระพุทธรูป และวัตถุโบราณ ของขวัญจากต่างประเทศต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือ พระบาง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองประดิษฐานอยู่ในหอไตร ทางปีกขวาของพระราชวังเป็นการชั่วคราว ระหว่างการบูรณะหอพระบางที่ด้านหน้าของพระราชวัง โดยภายในหอไตรนี้ยังมีพระไตรปิฎกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เคยพระราชทานให้กษัตริย์ลาวด้วยนะครับ




ลักษณะแผนผังของตัวพระราชวังประกอบด้วยอาคารขวางด้านหน้า หลังคามุงกระเบื้อง  ตรงกลางมีมุขยื่นออกมา มีหน้าบันเป็นรูปช้าง 3 เศียร มีฉัตรกางอยู่ตรงกลางข้างบน อันเป็นสัญลักษณ์ของราชอาณาจักรลาวล้านช้างในระบอบเดิม 


ตรงเข้าไปเป็นห้องฟังธรรมของเจ้ามหาชีวิตและท้องพระโรง เบื้องหลังท้องพระโรงเป็นอาคารที่มีหลังคาเป็นยอดปราสาทหลังเดียวมองเห็นเป็นสง่าเด่นชัดจากภายนอกตัวอาคาร แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ปีกทางด้านซ้ายมือเป็นห้องรับแขกของพระมเหสี ส่วนปีกทางด้านขวามือเป็นห้องรับแขกของเจ้ามหาชีวิตมีความสวยงามบรรยากาศเป็นแบบฝรั่งเศสปนลาว 

ส่วนของห้องสุดท้ายของปีกด้านนี้ได้ถูกจัดให้เป็นห้องพระโดยเฉพาะ ภายในเป็นที่ประดิษฐานของ “พระบาง” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบางจึงกลายเป็นที่มาของชื่อ “เมืองหลวงพระบาง”อันหมายถึงเมืองที่มี “พระบาง” ประดิษฐานอยู่นั่นเองครับ



ถ้าหากท่านใดที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวที่นี่ ต้องเช็คกันหน่อยครับ เพราะที่นี่เขาเปิดให้เข้าชมทุกวันยกเว้นวันอังคารครับ โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลาคือ


ตอนเช้า  8.00 น. - 11.30 น.  ปิดขายบัตรเข้าชมสำหรับภาคเช้าเวลา  11.00 น.

ตอนบ่าย 13.30 น. - 16.00 น. ปิดขายบัตรเข้าชมสำหรับภาคบ่ายเวลา 15.30น.


ค่าธรรมเนียมการเข้าชม  30.000 กีบ ครับ


หมายเหตุ ภายในพระราชวังหลวง ห้ามการถ่ายรูปทุกชนิดครับ
นี่ก็เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวในหลวงพระบางที่ไม่ควรพลาดอีกที่หนึ่งครับ มาที่นี่ได้ชมความสวยงามของพระราชวังแถมยังได้รู้ประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วครับ

ขอบคุณข้อมูลดีๆที่เป็นประโยชน์จาก louangprabang.net ครับ


0 ความคิดเห็น:

Hotels2thailand.com

Like us on Facebook