มนต์เสน่ห์เมืองลาว

เที่ยวลาวใต้ ไม่ยากอย่างที่คิด



เที่ยวลาวในครั้งนี้ เราจะนำเพื่อนๆ นักเที่ยว ไปชม มนต์เสน่ห์แห่งจำปาสัก ลาวใต้ วัดพูจำปาสัก มรดกโลก วัฒนธรรมที่เก่าแก่ ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ มิตรภาพที่เป็นกันเอง ความอลังการแห่งสายน้ำตกท่ามกลางขุนเขา  ชมความงามไข่มุกแม่น้ำโขง "ไนแองการ่าแห่งเอเซีย"

นี่เป็นอีกหนึ่งจุดหมายการท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่น้อยเลยครับ สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวลาวใต้ ประเทศลาว การท่องเที่ยวที่นี่ไม่ได้มีแค่ความเก่าล้าหลังอย่างที่หลายคนเข้าใจนะครับ ตรงกันข้ามกลับมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งเป็นอะไรที่น่าแปลกมากๆสำหรับประเทศเพื่อนบ้านของเรา

แต่...ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ ถ้าเพื่อนๆได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวลาวใต้ ไปดูด้วยตาตัวเอง คงหาคำตอบได้ไม่ยากครับ

ทริป การเดินทางท่องเที่ยวลาวใต้ ต้องบอกเลยว่าไม่ยากอย่างที่คิดครับ ถ้าเป็นตอนนี้แล้วล่ะก็ สะดวกสบายมากขึ้นครับ

สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวลาวใต้นั้น แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะเที่ยวยังไง  ไปแบบไหน  พักที่ไหน ขอให้ตัดความกังวลเรื่องนี้ไปได้เลยครับ

นี่อาจจะเป็นแนวสำหรับใครๆหลายคน ไม่มากก็น้อยครับ....!

จุดเริ่มต้นการเดินทางท่องเที่ยวลาวใต้ของเราในครั้งนี้อยู่ที่ ปากเซ ครับ เป็นอะไรที่สะดวกที่สุดแล้ว มีโรงแรม ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางครับ

ลาวใต้ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่น้อยเลยครับ ส่วนใหญ่แหล่งท่องเที่ยวจะเน้นเป็นการท่องเที่ยวแบบเที่ยวชมธรรมชาติ น้ำตก  ล่องแม่น้ำโขง อะไรประมาณนั้น ไม่ได้สวยหรูเหมือนเราไปเที่ยวนครหลวงเวียงจันทน์นะครับ การเดินทางก็สมบุกสมบันกันเลยทีเดียว  ด้วยแต่ละสถานที่นั้นอยู่ไกลกันพอสมควร แต่เส้นทางการเดินทางไม่เหมือนสมัยสามสี่ปีที่แล้ว เดียวนี้เส้นทางท่องเที่ยวสะดวกสบายกว่าที่คิดครับ

ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่ไกลกันพอสมควรนั้น  เราจึงขอแนะนำการท่องเที่ยวลาวใต้กันแบบ 3 ทริปครับ


0ne …..เส้นทางท่องเที่ยวแรกนี้เป็นเส้นทางการท่องเที่ยวชมเมืองปากเซและปราสาทหินวัดภู 


มรดกโลกที่น่าสนใจของลาวใต้  การท่องเที่ยวนี้ใช้เวลาท่องเที่ยวหนึ่งวันเต็มครับ เพราะการเดินทางไปเยือนปราสาทหินวัดภูนั้นค่อนข้างไกลและเสียเวลาเดินทางไปมาก (แนะนำให้จัดการท่องเที่ยววัดพูไว้เป็นวันแรกจะดีกว่าครับ)

ทริป : ช่วงที่เหมาะในการท่องเที่ยวปราสาทวัดพูขอแนะนำช่วง “เทศกาลบุญวัดพู” หรือ The Legend of Vat Phou ครับเพราะเพื่อนๆจะได้ชมแสงสีเสียงอลังการงานสร้างของ ตำนานรัก..แห่งจำปาสัก  ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกวันเพ็ญเดือน 3 ของทุกปีครับ




มรดกโลกแห่งที่สองของประเทศลาว ตั้งอยู่บนเนินเขาภู หรือเรียกกันว่าภูควาย ห่างจากตัวเมืองเก่าจำปาสักประมาณ 6 กิโลเมตร ซึ่งได้รับการรับรอง และขึ้นทะเบียนจากองค์การ UNESCO ว่าเป็นสถานที่เมืองมรดกโลก สถานที่ท่องเที่ยวที่สุดของลาวใต้ที่ไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด  อ่านเพิ่มเติม..........



นมัสการ วัดหลวง วัดเก่าแก่ คู่เมืองปากเซ
เมืองปากเซ หรือแขวงเซโดนในอดีตนั้นเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของลาวใต้ครับ เป็นศูนย์กลางทั้งหมดของจำปาสัก  สถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองปากเซที่อยากแนะนำเพื่อนๆไปกราบสักการะนั่น คือ วัดหลวง ครับ   

วัดหลวง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ ที่อยู่คู่เมืองปากเซ   ที่ชาวปากเซให้ความเคารพนับถือ ส่วนด้านหลังของวัดหลวงนั้นจะสามารถมองเห็นแม่น้ำเซโดน และแม่น้ำโขงไหลมาบรรจบกันได้ อย่างสวยงาม ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าปากเซ นั่นเองครับ จากที่นี่เพื่อนๆ สามารถมองเห็นสะพานเหล็กเก่าสมัยฝรั่งเศสปกครองลาวด้วยครับ อีกหนึ่งที่เที่ยวในปากเซที่อยากแนะนำ



Two ......ปากเซ - น้ำตกคอนพระเพ็ง – น้ำตกหลี่ผี


สำหรับเส้นทางท่องเที่ยวนี้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจครับ  เพราะเราจะไปชม ไนแองการ่าแห่งเอเชีย พร้อมทั้งชม ความน่ากลัวของหลี่ผี เชื่อว่าเพื่อนๆไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนอย่างแน่นอนครับ (สำหรับเพื่อนๆที่มาพักที่ปากเซหลายวันนี้แนะนำทริปนี้เป็นวันที่ 2 ครับ)


คอนพะเพ็ง แห่งนี้ หากแปลเป็นไทยแบบเท่ๆ แล้ว ก็คือ แก่งจันทร์เพ็ญ ที่ฟังแล้วช่างโรแมนติกเสียนี่กระไร
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว UNSEEN ของลาว ที่หลายๆคนถึงกับให้ฉายาว่า ไนแองการ่าแห่งเอเชีย สุดยอดไข่มุกของแม่นํ้าโขง...



ฟังชื่อแล้วก็น่ากลัวเหมือนกันนะครับ กับสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่มีชื่อเสียงอีกหนึ่งแห่งของลาวใต้  เป็นลักษณะคล้ายๆแก่งครับ แต่รุนแรงกว่ามาก  สำหรับการท่องเที่ยวที่นี่ ต้องนั่งเรือเข้าไป ลัดเลาะไปตามเกาะต่างๆครับ อ่านเพิ่มเติม.....



Three....น้ำตกตาดเยือง - น้ำตกตาดฟาน – ผาส้วม - อุทยานบาเจียง - ตลาดดาวเรือง - ช่องเม็ก – กลับ



ทริปนี้เพื่อนๆสามารถเที่ยวภายในวันเดียวได้ครับ ไป – กลับ แนะนำว่าให้ไปกลับทัวร์จะดีกว่าครับ หรือถ้าใครได้ค้างคืน ทริปนี้แนะนำให้เป็นทริปเที่ยวของวันที่ 3  หรือเที่ยวก่อนกลับครับ 


น้ำตาดเยือง แห่งนี้เป็นน้ำตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเมืองปากซอง  จุดเด่นที่น่าชมของน้ำตกแห่งนี้ อยู่ที่สายน้ำสีขาวที่ไหลออกมาตามหน้าผา แล้วกระทบโขดหินแตกเป็นละอองสีขาว ตัดกับสีดำเข้มของโขดหิน ท่ามกลางบรรยากาศอันร่มรื่นและเป็นส่วนตัว  สายน้ำที่ทอลงมาจากหน้าผา ยิ่งทำให้น้ำ แตกกระเซ็นเป็นละอองที่สวยงาม อ่านเพิ่มเติม...


น้ำตกตาดฟาน แห่งนี้เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในแขวงจำปาสักเลยก็ว่าได้ครับ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า น้ำตกดงหัวสาว (ซึ่งคำว่า ฟาน แปลว่า เก้ง)  จุดเด่นอยู่ตรงสายน้ำ 2 สายนี่แหละครับ ที่ไหลลงจากหน้าผาสูงราว 120 เมตร โดยสายน้ำทางซ้ายมือไหลมาจากห้วยผักกูด และทางขวามือเป็นสายน้ำที่ไหลมาจากอุทยานแห่งชาติดงหัวสาว อ่านเพิ่มเติม.....


น้ำตกที่สวยงาม โดยฝีมือคนไทย เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและแนะนำให้ไปชมกันครับ อ่านเพิ่มเติม....

หมู่บ้านโบราณหลายชนเผ่า ของลาวใต้
หมู่บ้านโบราณนี้อยู่ในส่วนของนํ้าตกผาส้วมครับ ใครที่เดินทางไปเที่ยวที่นํ้าตกผาส้วม ก็อย่าลืมแวะไปชมกันด้วยนะครับ  อ่านเพิ่มเติม.....



เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในเมืองปากเซครับ  อาจเรียกว่าเป็นศูนย์การค้าของลาวใต้อย่างงี้ก็ไม่ผิดครับ  สำหรับคนไทยเรานั้นจะเรียกตลาดดาวเรืองนี้ว่า “ตลาดละลายทรัพย์ของคนไทย “ ครับ แนะนำให้เพื่อนๆไปช้อปของถูกที่นี่ครับ  อ่านเพิ่มเติม....



ตลาดช่องเม็ก 
เป็นอีกหนึ่งที่ช้อปของราคาถูกอีกหนึ่งที่ครับ ตลาดช่องเม็ก 
เป็นตลาดชายแดน ไทย ลาว สำหรับเพื่อนๆที่จะเดินทางไปเที่ยวลาวใต้ก็จะผ่านแน่นอนครับ   มีสินค้า ไทย-ลาว มากมายให้เลือกซื้อครับ



ขอให้ทุกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ   สนุกสนานกับการเดินทางท่องเที่ยวลาวใต้ครับ


Learn more »

มณีโคตร แห่งคอนพะเพ็ง


ผมอยากจะเล่าตำนานที่เล่าขานกันมาถึง “คอนพะเพ็ง”  หรือ ที่หลายคนให้ฉายาว่า ไนแองการ่าแห่งเอเชีย ถึงความน่าสนใจของที่นี่  แม้ว่าตอนนี้เรื่องที่ผมจะเล่าจะกลายเป็นตำนานไปแล้ว  แต่เรื่องราวยังน่าสนใจไม่น้อยเลยครับ 

ด้วยความที่สายน้ำโขงที่ไหลบ่ามาในบริเวณนี้เชี่ยวกรากดุดัน น่ากลัว และยิ่งเมื่อสายน้ำกระโจนลงสู่แก่งหินเบื้องล่างอย่างรุนแรงจึงเกิดเป็นน้ำตกอันยิ่งใหญ่ตระการตาที่ชื่อ “น้ำตกคอนพะเพ็ง” เพิ่มความน่าสนใจของสถานที่ท่องเที่ยวให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวอยู่ไม่ขาดสาย

แต่เรื่องราวที่น่าตื่นเต้นที่เราจะพูดถึง นอกจากความสวยงามและความอลังการแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญและอยู่คู่น้ำตกคอนพะเพ็ง แห่งนี้มายาวนานก็คือ “ต้นมณีโคตร หรือ มะนีโคด ในภาษาลาว นั่นเองครับ เป็นต้นไม้เก่าแก่ ที่สันนิษฐานว่ามีอายุหลายร้อยปีหรืออาจถึงพันปีเลยก็ว่าได้


ต้นมณีโคตร  ขึ้นอยู่บนแก่งหินกลางแม่น้ำโขง  เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวลาวเขานับถือกันครับ  ที่สำคัญ เชื่อว่ามีต้นเดียวในโลก

ตามตำนานเรียกว่าเป็น ต้นชี้ตาย ปลายชี้เป็น โดยหากเอาด้านหัวของกิ่งชี้ไปที่ใครคนนั้นก็จะตาย แต่หากใช้ด้านปลายของกิ่งชี้คนตายก็กลับฟื้นขึ้นมาได้ 

แกนของกิ่งต้นมณีโคตรหากตัดดูจะเห็นเป็น 3 สี คือสีนวลเหมือนไข่ไก่ สีม่วง และสีชมพู เป็นที่มาของชื่อ มณีโคตร 

มณีโคตรต้นนี้ มองด้านหนึ่งคล้ายเขาควายมาครับ มี 3 กิ่งหลักๆ กิ่งหนึ่งหันไปฝั่งลาว ชาวลาวเชื่อว่า ใครได้กินผล (หมาก) ที่เกิดจากกิ่งนี้จะแก่ชราขึ้น กิ่งหนึ่งหันไปทางเขมร เชื่อว่าใครกินผลของกิ่งนี้จะกลายเป็นลิง และอีกกิ่งหนึ่งนั้นหันไปทางฝั่งไทย เชื่อว่าใครที่ได้กินผลจากกิ่งนี้ จะหนุ่มขึ้น บ้างก็ว่าไม่ว่ากินจากกิ่งไหนก็จะมีกำลังวังชาเหนือมนุษย์ และบ้างก็เชื่อว่าปลายกิ่งทั้งสามที่ชี้ไปทางกัมพูชา ไทยและลาว นั้น หมายถึงว่า ทั้งสามประเทศจะเจริญเป็นมรกตแห่งอินโดจีน ที่ตามความเชื่อที่เล่าต่อๆกันมานี้ ก็ยังไม่เคยมีใครได้กินผลจากกิ่งใดเลย 

เป็นเพราะอะไรนะเหรอครับ ผมจะบอกให้ว่าทำไม ?

ก็เพราะสายน้ำเชี่ยวกราด น่ากลัว ทำให้ไม่เคยมีใครเข้าไปถึงต้นมณีโคตรต้นนี้ ยกเว้นแต่นกกระยางขาวและอีกา ที่มักจะบินไปเกาะอยู่เต็มต้นมณีโคตรทุกๆ วันพระ (มันน่าแปลกนะครับที่ทำไมนกพวกนั้นถึงเลือกไปเกาะที่ต้นมณีโคตรเฉพาะวันพระเท่านั้น)

นอกจากนั้นยังเชื่อกันว่า กิ่งของต้นมณีโคตรเมื่อนำไปฝนกับน้ำแล้วดื่มก็จะรักษาได้สารพัดโรค  แม้แต่ฝรั่งเศสในสมัยที่ยังปกครองลาวอยู่ ก็ยังเคยพยายามส่ง เฮลิคอปเตอร์ เข้าไปบินใกล้ๆ เพราะดูถูกในความเชื่อของคนลาว แต่ ฮ. ก็ต้องตกลงอย่างไม่รู้สาเหตุ และด้วยความเชื่อว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการสร้างศาลไว้ให้คนบูชาไว้ที่ฝั่งบริเวณใกล้ๆ กับน้ำตก

แต่น่าเสียดายเมื่อปี 2555 ได้โคล่นล้มลง ด้วยสาเหตุทางความเชื่อ ว่า เนื่องมาจากการบวงสรวงที่ต้องกระทำทุกปีนั้น ในปีนี้ได้กระทำผิดวิธี ทำให้ต้นไม้โค่นลง โดยหลังจากเริ่มทำพิธีเมื่อเวลา 1 ทุ่ม จากนั้นตอน 4 ทุ่มต้นไม้ก็ล้มลง เป็นที่ฮือฮาน่าตกใจสำหรับชาวลาวเป็นอย่างยิ่ง   แต่อีกหนึ่งสาเหตุก็คือ เนื่องจากต้นไม้อายุมากแล้ว และก่อนหน้านั้นก็มีพายุลมแรงและฝนตกติดต่อกัน 3 วัน ทำให้ต้นไม้ทานกระแสลมและกระแสน้ำไม่ไหวนั่นเองครับ



ต้นมณีโคตรที่โค่นล้มนั้นถูกมัดไว้กับแก่งหินในบริเวณคอนพะเพ็ง โดยใช้วิธีหย่อนคนลงมาจาก ฮ. เพื่อนำเชือกมามัดต้นไม้ไว้กับแก่งหินไม่ให้ลอยหายไป แต่ยังไม่สามารถนำต้นขึ้นมาบนฝั่งได้เนื่องจากต้นไม้มีขนาดใหญ่มากและกระแสน้ำเชี่ยวมากเช่นเดียวกัน โดยหากเมื่อนำขึ้นมาแล้วจะนำไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ต่อไป

และเมื่อไม่นานมานี้ก็มีข่าวว่า ลาวได้กู้ต้นมณีโคตรได้สำเร็จแล้ว  แต่เนื่องจากต้นไม้มีขนาดใหญ่และยาวกว่ากำลังของเฮลิคอปเตอร์จะสามารถลากทั้งหมดได้ภายในครั้งเดียว จึงจำเป็นต้องตัดออกเป็น 3 ท่อนเพื่อให้สะดวกต่อการยก 

สำหรับต้นไม้ “มะนีโคด” ที่กู้ขึ้นมาจากพื้นน้ำนี้ มีความยาว 14.56 เมตร หน้าตัด 46.6 เมตร และน้ำหนักทั้งหมด 2,800 กิโลกรัม ซึ่งทางการลาวมีแผนจะนำขึ้นไปตั้งแสดงไว้ที่หอพิพิธภัณฑ์ซึ่งสร้างขึ้นใหม่ ในบริเวณคอนพะเพ็ง เพื่อทำการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ และจัดให้ประชาชนชาวลาวได้ไหว้สักการบูชาครับ ถ้าใครได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยว น้ำตกคอนพะเพ็งก็คงได้เห็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้ครับ 

แต่น่าเสียนานะครับที่ไม่สามารถเห็นต้นมณีโคตรกลางคอนพะเพ็งที่เชี่ยวกราดเหมือนแต่ก่อน   คงได้เหลือเพียงชื่อและตำนานให้เล่าขานกันเท่านั้น 

ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ นี่น่าทึ่งจริงๆ



ขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก  manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000099952
Learn more »

ถ้ำน้ำลอดกองลอ เส้นทางคมนาคมใต้พิภพที่สวยที่สุดในโลก



คำม่วนกับความสงบ ดูไร้ความวุ่นวาย แต่ในขณะเดียวกันก็กำลังเปิดรับความเจริญที่กำลังจะมาถึง เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของแขวงคำม่วนที่กำลังเปิดรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนที่นี่

ผมจำได้ว่า เคยเล่าถึงถ้ำลอดเซบั้งไฟไปในบทความก่อนๆ และต้องขอโทษจริงๆที่ลืมที่จะเล่าถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งในแขวงคำม่วน ผมว่าที่นี่ก็น่าสนใจไม่แพ้ ถ้ำลอดเซบั้งไฟ เลยครับ

ถ้ำน้ำลอดกองลอ เคยได้ยินกันมั้ยครับ ???


สำหรับเพื่อนท่านไหนเคยไปสัมผัสมาแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก  แต่สำหรับใครที่ยังไม่เคยไป ไม่เคยเห็น บทความนี้จะได้รู้กันครับ เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยว ที่แนะนำเลยครับ เหมาะกับท่านที่ชอบการเที่ยวแบบผจญภัยอีกนั่นแหละ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนครับ

ถ้ำน้ำลอดกองลอ มีความยาวตลอดตัวถ้ำ ประมาณ 7.5 กิโลเมตรครับ เราสามารถนั่งเรือไปได้ตลอด จนทะลุอีกฝั่งได้ อย่างไม่มีปัญหา การนั่งเรือไปและกลับ จะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ ครับ

สำหรับใครที่คิดจะเดินทางไปเที่ยวที่นี่ บอกไว้ตรงนี้เลยว่า ให้เลี่ยงการไปเที่ยวถ้ำลอดกองลอในช่วงเทศกาลครับ เพราะคนจะเยอะมาก อย่างที่เพื่อนๆจะเห็นจากภาพด้านล่างนี้  ดูแล้วกลายเป็นว่าไม่น่าเที่ยวไปเลย จะทำให้เพื่อนๆไม่ค่อยประทับใจเปล่าๆ ครับ  background ธรรมชาติเขาสวยงามอยู่แล้วแต่พอคนเยอะๆ มันไม่ชวนมองครับ เพราะถ้าคนเยอะๆ ความสกปกก็จะตามมานั่นเอง เอาเป็นว่าเชื่อกันนะครับ



ต่อ ต่อ ครับ ....การเที่ยวถ้ำจะเป็นการนั่งเรื่องเขาไปครับ จากแสงสลัวที่ปากถ้ำก็เริ่มเข้าสู่ความมืดมิด แต่ก็ยังมีไฟฉายในมือ (เชื่อสิเดี๋ยวก็มีไฟฉายเอง)  เรือจะพาเราแวะชมจุดแรก ที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ โถงถ้ำขนาดใหญ่ของหินงอกหินย้อยสวยงามท่ามกลางแสงไฟนีออน ซึ่งเราจะลุยน้ำเพื่อขึ้นไปชมและสัมผัสอย่างใกล้ชิดครับ  ภายในถ้ำที่เต็มไปด้วยโขดหิน โค้งซ้าย โค้งขวา โค้งหักศอก ต้องใช้ความชำนาญอย่างมากของคนพาย บางช่วงเป็นสันทราย ต้องลงจากเรือ ต้องเข็นข้ามเป็นระยะ สำหรับคนที่ชอบผจญภัยไม่น่าจะมีปัญหานะครับ 



ไฟฉายส่องขึ้นด้านบน เพดานถ้ำสูงลิบลิ่วจนสุดแสงไฟ ถ้ำน้ำลอด กว้างใหญ่และยาวกว่า 7 กิโลเมตร  ความยาวเท่ากับสะพานโกลเดนท์เกท 3 สะพานต่อกัน  (เว้อๆ) ตื่นตาตื่นใจ ความเย็นของสายน้ำที่ผ่านข้อเท้าทำให้รู้สึกได้ว่า ภายในถ้ำน่าจะมีความหลากหลายทางชีวภาพด้านอื่น ๆ ที่ยังซ่อนเร้นอยู่อีกมากมาย

แต่ที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ ชาวบ้านเค้าบอกว่า ที่นี่เป็นถ้ำที่ชาวบ้านละแวกนี้ใช้สัญจรไปมาหาสู่กันมาก่อนการท่องเที่ยวจะเข้ามาถึงครับ ถ้ามองอีกแบบก็คือ เปรียบเสมือนเส้นทางคมนาคมของชาวบ้านครับ ทำไมนะหรือ ก็เพราะอีกฟากของปากถ้ำ เป็นหมู่บ้านนาตาล ที่ถูกปิดล้อมไปด้วยภูเขาหินปูนที่สูงชัน ไม่มีถนนเข้าออก ชาวบ้านจึงได้ใช้ถ้ำน้ำลอด แห่งนี้เป็นเส้นทางคมนาคมครับ  พอที่นี่เป็นเป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวกันเยอะแยะ สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านที่นี่ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และนั่นทำให้เราเห็นว่า ธรรมชาติยิ่งใหญ่เสมอครับ


การเดินทาง

ถ้ำน้ำลอดกองลอตั้งอยู่บ้านกองลอ แขวงคำม่วน  จากท่าแขก ไปตามถนน หมายเลข 13 แล้ว เลี้ยวขวาที่แยกหลักซาว
ไป ตามถนนหมาย 8 ทางไปเมืองหลักซาว ไปด่านน้ำพาว ชายแดนเวียดนาม ก่อนถึงบ้านนาหิน ประมาณ 3 กม. มีทางแยกทางขวามือ
มีป้ายบ่งบอกอย่างชัดเจน ว่าไป ถ้ำน้ำลอดกองลอ ครับ


การเดินทางด้วยตัวเอง

ข้ามเรือจากนครพนมสู่เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน หรือข้ามทางบึงกาฬก็ได้ระยะทางพอๆกันครับ ต่อรถสองแถวจากท่าแขก (คิวรถหลักสอง) ขึ้นไปทางถนนหมายเลข 13 เหนือ สู่บ้านท่าแบ่ง จากบ้านท่าแบ่งให้ต่อรถสองแถวสายท่าแบ่ง-หลักซาว (ชายแดนเวียดนาม) บอกคนรถว่าลงบ้านนาหิน จากบ้านนาหิน สามารถนั่งรถสองแถวบริเวณตลาด ต่อไปยังถ้ำกองลอได้โดยตรง

ระยะทางรวมจากท่าแขก ประมาณ 200 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 4-5 ชั่วโมง เนื่องจากเส้นทางเป็นภูเขาสูงชันหลายช่วงทำความเร็วไม่ได้มาก

ค่าเช่าเรือเข้าถ้ำ 100,000 กีบ (ประมาณ 400-450 บาท) นั่งได้ลำละ 3 คน แต่ละคนจะต้องเสียค่าทำเนียบการเข้าถ้ำอีกคนละ 5,000 กีบ (ประมาณ 25 บาท)

ที่ปากถ้ำมีบริการให้ยืมไฟฉายและรองเท้าเตะค่าเช่าไฟฉาย 5,000 กีบ รองเท้าก็ 5,000 กีบ การเที่ยวถ้ำจะใช้เรือลำเล็กใส่เครื่องยนต์แล้วขับผ่านไปตามทางน้ำ ซึ่งบางช่วงตื่นก็ต้องลงน้ำเข็นช่วยกัน ดังนั้นจะต้องเปียกแน่นอนครับ ไม่ควรใส่ชุดที่ไม่อยากให้เปียกไปนะครับ

จะไปเช้าเย็นกลับหรือจะไปพักที่บ้านกองลอก็ได้มีที่พักเช่นกัน ที่บ้านนาหินจะมีที่พักมากกว่า ราคาโฮมสเตย์อยู่ที่ประมาณคนละ 200 บาท รวมอาหารเย็นและอาหารเช้า มีมิตรไม่ตรีจากชาวบ้านเป็นของแถม







ขอบคุณข้อมูลท่องเที่ยวและภาพถ่ายจาก oknation.net ครับ


Learn more »

สวนพระ Buddha park,เวียงจันทน์


สบายดี.. ทักทายกันแบบลาวๆ น่ารักๆ   ครับ

สำหรับท่านที่กำลังจะเดินทางไปเที่ยวประเทศลาวในช่วงนี้ ก็ขอให้เที่ยวให้สนุกนะครับ แต่ถ้ายังไม่มีแพลนจะเดินทาง มาลองดูสถานที่ท่องเที่ยวในลาวที่เราจะบอกกันต่อไปนี้ดูก่อนมั้ยครับ สำหรับท่านที่กำลังจะเดินทางไปเที่ยวเมืองหลวงเวียงจันทร์ของลาว ห้ามพลาดครับ

ห่างจากนครเวียงจันทน์ไปประมาณ 25 กิโลเมตร บนถนนท่าเดื่อ หรืออยู่เลยสะพานมิตรภาพไทย-ลาวไป 3 กิโลเมตร.เท่านั้น เป็นความสวยงามที่หาชมยากและแน่นอนครับ น่าสนใจ และทำให้อยากแนะนำกันในครั้งนี้ด้วย


ถ้าคนที่เคยไปมาแล้วน่าจะรู้จักดี แต่ก็มีบางคนที่ก็ยังไม่รู้จักที่นี่ วันนี้จะได้รู้กันครับ

วัฒนธรรมเชียงควนที่น่าสนใจและได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเวียงจันทน์ คือ  วัดเชียงควน (Xieng Khuan Templeที่นี่เป็นสวนพระ ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 2501 ภายในสวนพระ เราจะเห็นมีรูปปั้นพระวิษณุ พระศิวะ และรูปปั้นแปลกๆตามจินตนาการของผู้สร้างมากมาย 

จุดเด่นของวัดเชียงควน ก็คือ อาคารทรงฟักทองขนาดใหญ่หลังนี้ที่สามารถเดินเข้าไปในอาคารได้ เรียกนักท่องเที่ยวที่มาเยือนได้ถ่ายรูปแบบช็อตต่อซ็อตได้ไม่ยาก ทั้งหมดในสวนพระ Buddha park เวียงจันทน์ นั้นกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใครๆต้องมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกไปแล้วครับ


ถ้าหากใครได้เห็นภาพ คงนึกในใจว่า “สร้างได้ยังไงกัน” จึงขอเล่าถึงความเป็นมาของสถานที่ที่น่าสนใจแห่งนี้กันครับ

พุทธอุทยาน หรือ สวนพระ ถูกสร้างขึ้นโดยปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์" หรือ "ปู่เหลือ" เมื่อครั้งที่หลวงปู่ยังอยู่ที่ประเทศลาว ซึ่งในภายหลังนั้นได้ย้ายกลับมายังฝั่งไทยและมาสร้างศาลาแก้วกู่ หรือวัดแขก ที่จังหวัดนครพนม โดยภายในพุทธอุทยานเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อซีเมนต์ตามความเชื่อทางศาสนาพุทธและฮินดูประดับประดาอย่างเป็นระเบียบทั่วทั้งสวน นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นของเหล่า มนุษย์ , พระเจ้า , สัตว์ , ปีศาจ , พระศิวะ , พระนารายณ์ และอื่นๆอีกเป็นจำนวนมากครับ



เห็นภาพที่นี่ครั้งแรก ก็นึกไปถึง “ศาลาแก้วกู่” ในบ้านเรา ที่เคยไป ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ถึงได้รู้ว่าคนสร้างเป็นคนเดียวกัน ที่นี่ถึงได้เหมือนกันอย่างกับฝาแฝด

ที่นี่เขาเก็บค่าเข้าด้วยนะครับ ค่าผ่านประตูคนละ 5,000 กีบ (หรือประมาณ 20 บาท)

จุดที่โดดเด่น คือ องค์พระนอนขนาดใหญ่ ยาวถึง 45 เมตร และสูง 19 เมตร ที่ต้องไปเก็บภาพครับ


หากมีเวลาพอ อยากให้แวะเที่ยวที่นี่ครับ เป็นวัดที่แปลกตาและเป็นประติมากรรมสวยๆหาชมยากจริงๆครับ



หากสนใจที่จะเดินทางมาเที่ยว สวนพระ Buddha park เวียงจันทน์ จะเหมารถรับจ้างในเวียงจันทน์ก็ได้ครับ แต่ส่วนใหญ่ที่เป็นที่นิยมกันเมื่อมาเที่ยวเวียงจันทน์ ถ้าหากเดินทางไปกันเป็นกลุ่ม จะเหมารถตู้เที่ยวครับ ราคา (ปัจจุบัน) 1200 บาทไทย (แนะนำให้ต่อๆๆๆๆราคา) เที่ยวทั้งวันครับราคานี้ คนขับเค้าจะมีโปรแกรมพาเที่ยวอยู่แล้ว แต่ถ้าเราอยากจะไปที่ไหนเป็นพิเศษในเวียงจันทน์ก็บอกคนขับได้ครับ คนลาวเค้าใจดีอยู่แล้วครับ


ข้อมูลท่องเที่ยวเพิ่มเติม : 

Learn more »

ถ้ำลอดเซบั้งไฟ อลังการธรรมชาติในแดนลาว



ถ้าไม่พูดถึงที่นี่ก็เหมือนพลาดอะไรบางอย่างไป แล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่เล่าก็คงจะไม่ได้แล้ว เพราะความยิ่งใหญ่อลังกาลแบบนี้ต้องบอกต่อครับ

เห็นสถานที่นี้เป็นครั้งแรกก็ใน นิตยสารแนชั่นแนลจีโอกราฟิก (National Geographic)  นิตยสารดังที่ใครๆก็รู้จักดี เขาพูดถึงการไปสำรวจสถานที่แห่งนี้กัน   เป็นที่รู้จักกันดีทั้งชาวลาวและชาวไทยมานานแล้ว  แต่ยังไม่มีการสำรวจและพูดถึงกันมากเท่าไหร่

ถ้ำลอดเซบั้งไฟ ในแขวงคำม่วน ของลาว  เปิดเผยความงดงามอลังการที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นมาในดินแดนของลาวเมื่อนับหมื่นปีก่อน

มันเป็นถ้ำลอดทางน้ำไหลที่มีมาเป็นเวลานานแล้วครับ แต่ยังไม่เคยมีการสำรวจอย่างจริงจัง อย่างที่บอกครับ แต่เมื่อไม่นานทีมสำรวจของนิตยสารแนชั่นแนลจีโอกราฟิก และ สมาคมภูมิศาสตร์แห่งชาติสหรัฐฯ ก็ได้ทำการสำรวจถ้ำแห่งนี้ เป็นเวลากว่า 10 วัน และนำภาพถ่ายความงดงามอลังการออกสู่สายตาชาวโลก อย่างที่เห็นครับ

ถ้าที่นี่ไม่เจ๋ง เข้าตา แนชั่นแนลจีโอกราฟิก จริงๆ เขาคงไม่นำทีมมาสำรวจ  แน่นอนว่า ถ้ำลอดเซบั้งไฟ คงไม่ใช่สถานที่ที่ธรรมดาอย่างแน่นอน ??






เท่าที่มีการบันทึกเอาไว้ นักสำรวจชาวฝรั่งเศสได้ค้นพบถ้ำลอดแห่งนี้ในปี 1905 (พ.ศ.2448) โดยนั่งแพไม้ไผ่เข้าไป และอีก 90 ปีต่อมา คือ ในปี 2538 นักสำรวจจากฝรั่งเศสที่อ่านพบเรื่องราวเกี่ยวกับถ้ำสวยงามแห่งนี้เข้า จึงได้กลับไปเยี่ยมชมที่นี่อีกครั้ง
ทีมสำรวจใหม่ที่นำโดยนักสำรวจถ้ำ จอห์น พอลแล็ค (John Pollack) เดินทางเข้าไปยังเซบั้งไฟในปี 2549 และเก็บความประทับใจกลับไป จากนั้นได้ออกหาทุนเพื่อการสำรวจถ้ำทั้งระบบอีกครั้ง
    
ทีมของพอลแล็ค กลับไปยังถ้ำลอดเซบั้งไฟอีก ในเดือน ก.พ.ปี 51 จัดทำแผนที่และเป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายภาพเก็บความงดงามของระบบถ้ำ ที่มีความยาวรวมกันเป็นระยะทางถึง 9.5 กิโลเมตร และได้นำออกเผยโฉมอันงดงามภายในออกสู่สายตาชาวโลก 


บ๊อบ ออสเบิร์น (Bob Osburn) ผู้ร่วมนำทีมสำรวจได้เป็นผู้จัดทำแผนที่ระบบถ้ำ และเดวิด บันเนล (Dave Bunnell) เก็บภาพอันสวยงามทั้งหมด บุคคลอื่นที่ร่วมทีมยังประกอบด้วยนักวิจัยชาวแคนาดา กับชาวอเมริกัน ชาติละ 4 คน ผู้นำทางชาวลาวกับผู้ช่วยงานอีกจำนวนหนึ่ง
การสำรวจครั้งนี้ สมาคมภูมิศาสตร์แห่งชาติสหรัฐฯ เป็นผู้ออกทุน และใช้เวลาทั้งหมด 10 วัน

ที่มา :  manager.co.th, ผู้จัดการออนไลน์



ทุกสิ่งทุกอย่างในถ้ำลอดเซบั้งไฟล้วนใหญ่โตมหึมาน่าอัศจรรย์ยิ่ง   เริ่มตั้งแต่ปากถ้ำอันกว้างใหญ่เชื้อเชิญผู้ไปพบเห็นให้เข้าเยี่ยมเยือน   แสงไฟฉายที่ถูกกลืนหายไปในอุโมงค์มืดขนาดใหญ่  ความมหัศจรรย์ของโถงถ้ำและหินงอกหินย้อยอันเป็นภาพที่สวยสดงดงาม 

สำหรับถ้ำน้ำลอดเซบั้งไฟแห่งนี้แล้ว จะบรรยายต่อยังไงได้ นอกจากการได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง ว่ามั้ย?

ที่นี่อาจจะยังไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้คนแวะเวียนเข้ามาบ่อยๆ เพราะด้วยระยะทางที่ไกลพอสมควร และถ้าไม่อึดจริงๆ แต่ก็เป็นที่ชื่นชอบสำหรับนักผจญภัยที่โหยหาความท้าทายใหม่ๆได้แวะเวียนมาเป็นระยะๆ เพื่อสำรวจความอลังกาลภายในถ้ำเซบั้งไฟแห่งนี้




การเดินทาง


การเดินทางสู่ดินแดนถ้ำเซบั้งไฟ : เริ่มต้นจากเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน โดยใช้เส้นทางหมายเลข 12 ไปยังเมืองจุดสุมหลงคัง เป็นทางลาดยาง ระยะทาง 103  กม. ต่อด้วยทางลูกรังอีก 37 กม.ไปยังเมืองบัวละพา และเดินทางต่อไปอีกประมาณ 14 กม. ก็ถึงบ้านหนองปิง สภาพถนนเป็นถนนดิน ถ้าช่วงหน้าฝนจะเป็นเส้นทางที่ยากลำบาก เป็นหลุม เป็นบ่อโคลน  หรือจะเลือกใช้เส้นทางท่าแขกไปยังบ้านมหาไช ไปบ้านป่าหนาม แล้วไปยังเมืองบัวละพา แม้ว่าระยะทางจะใกล้กว่าเล็กน้อย แต่เป็นเส้นทางลูกรัง

ที่พักบ้านหนองปิง : จะมีที่พักแบบโฮมสเตย์ในหมู่บ้าน ค่าที่พัก 50,000 กีบต่อคืน ต่อคน รวมอาหาร  2 มื้อ และที่พักของเมือง อยู่ใกล้กับโรงเรียนในหมู่บ้าน ค่าที่พักประมาณ 300,000 กีบต่อหลังต่อคืน ในหมู่บ้านไม่มีร้านอาหารใดๆ ควรเตรียมเสบียงและน้ำดื่มไปให้พอเพียง

ฤดูกาลเที่ยว : ตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายน 

 เที่ยวถ้ำติดต่อ : บริษัท Greendiscovery ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.greendiscoverylaos.com


ที่มา :  komchadluek.net  - ถ้ำเซบั้งไฟ ความอลังการแห่งการค้นหา : เรื่อง / ภาพ ... ภูฟ้า-ภูตะวัน


Learn more »

The Gibbon Experience ผจญภัยบนต้นไม้



เห็นตอนนี้คนเขาพูดกันเยอะ  ถึงที่เที่ยวผจญภัยสุดหวาดเสียว ในแบบการใช้ชีวิตเหมือนทาร์ซาน บนต้นไม้  และก็เป็นการเที่ยวแบบ  แอดเวนเจอร์ (Adventure )ที่น่าตื่นเต้นและมาแรงมากตอนนี้  
“ไปสัมผัสชีวิตทาร์ซาน บนบ้านต้นไม้ ที่ประเทศลาว”

ใครที่คิดว่าที่เที่ยวในลาว มีแต่การเที่ยวออกแนวเที่ยวชมวัฒนธรรมทางศาสนา โบราณสถานเก่าแก่ นี่คงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ทำให้ความคิดนี้พ้นข้อกล่าวหา

เราขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแบบ  แอดเวนเจอร์ (Adventure ) ผจญภัยบนต้นไม้ สัมผัสบรรยากาศความสวยงามของวิวป่าเขา และอากาศบริสุทธิ์บนความสูง

The Gibbon Experience ประเทศลาว


ที่นี่...เพื่อนๆจะได้ใช้ชีวิตแบบทาร์ซานจริงๆ ไกด์จะพาคุณเดินทางเข้าไปในเขตป่าสงวนน้ำกาน  โดยต้องโหนสลิงหลายเส้น เพื่อไปให้ถึงที่พัก  ซึ่งเป็นบ้านต้นไม้ตั้งอยู่กลางป่า เส้นยาวมีความยาวประมาณ 700 เมตร ส่วนเส้นสั้นมีความยาวประมาณ 200 เมตร




บ้านต้นไม้เป็นที่พักรวมสำหรับทุกคนในคณะ ภายในบ้านมีห้องน้ำแต่ไม่มีปลั๊กไฟ สำหรับเ­ครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนที่นอนเป็นฟูกนอนกางมุ้ง (แยกกันนอนมุ้งใครมุ้งมัน) อาหารเป็นอาหารพื้น ๆ ที่ไกด์คอยจัดเตรียมไว้ให้ทั้งสามมื้อโดยใส่ปิ่นโตครับ ถ้าใครอยากเห็นผ้าถุงปลิวไสวของแม่ครัวที่นี่ แบบโหนสลิงมาส่งข้าวถึงที่ ต้องมาลองกันครับ   และหากโชคดี เพื่อนๆจะได้พบสัตว์ป่า จำพวกลิง ค่างและชะนี   กิจกรรมนี้ไม่เหมาะกับท่านที่กลัวความสูงและพวกเกียจชะนี 



ที่ เดอะกิ้บบ้อน เอ็กพีเร้น (The Gibbon Experience ) เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยว ที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่รักการผจญภัยนิยมมาลองกิจกรรมสุดหวาดเสียวนี้กัน

สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่ไปลองกิจกรรมนี้เป็นครั้งแรก ไม่ต้องกลัวว่าจะทำไม่ได้ครับ  เพราะ ไกด์ท้องถิ่น  จะสอนเราให้รู้จักวิธีการใช้รอกในการโหนตัวไปมาในสถานที่ต่างๆ (จะสอนครั้งเดียว) หลังจากนั้นเราก็สามารถ ไปไหนมาไหนได้เอง แบบ Unlimited ครับ และไม่ต้องกังวลเพราะที่นี่ปลอดภัยได้มาตรฐานครับ



การเดินทาง


มุ่งหน้าสู่ด่านเชียงของ จ.เชียงราย  มีแค่พาสปอร์ตก็พอ ไม่ต้องใช้วีซ่า สามารถอยู่ได้หนึ่งเดือน ทำเรื่องเรียบร้อยเราก็เดินลงไปเพื่อจะข้ามเรือไปห้วยทราย แขวงบ่อแก้วนั่นเองครับ
ข้ามไปแล้วก็ติดต่อกับสำนักงานของ Gibbon Experience ที่อยู่ไม่ห่างจากท่าเรือเท่าไหร่นัก ให้เรียบร้อย

แล้วก็เดินเที่ยวแถวๆนั้นก่อนครับ เพราะรถจะมารับในวันพรุ่งนี้เช้า

สำหรับการเดินทาง ก็โดยการขับเคลื่อนสี่ล้อ  เดินทางไปตามถนนลูกรังสลับกับถนนยางมะตอย  ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงบนรถ  มีขับรถลุยน้ำด้วย  จุดมุ่งหมายคือ "บ้านตูบ"  ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าม้ง  ระยะทางก็สมบุกสมบันพอสมควร

จากบ้านตูบ  รถยนต์ไม่สามารถวิ่งต่อไปได้อีก  เราต้องเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง

จุดหมายปลายทางคือกระท่อมเล็ก  ที่ใช้เป็นเหมือนกับ Center  ใช้ในการเก็บเสบียง และแจกจ่ายอุปกรณ์ในการโหนสลิง

จากนั้นก็เป็นการโหนสลิงเข้าบ้านพักครับ

ที่มา : topicstock.pantip.com



ทริป :  การเดินทางไป Gibbon Experience เป็นระยะทางหลายกิโลและเส้นทางก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด เพื่อนจะได้นั่งรถเข้าไป และต่อด้วยการเดินเท้าต่อไปอีกหลายโล แนะนำให้ฟิตพลังขาไว้หน่อยก็ดีครับ ไม่ต้องขนสัมภาระไปเยอะครับ เอาเท่าที่จำเป็นก็พอ อาหารการกินต่างๆเขาก็เตรียมให้เราแล้ว ย้ำอีกครั้งครับว่า ที่นี่ ไม่มีปลั๊กไฟ สำหรับเ­ครื่องใช้ไฟฟ้านะครับ สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือ ยากันยุง ไฟฉาย กล้อง ขวดน้ำ

ทริปนี้จะรับไม่เกิน 12 คนครับ ถ้าเกินไปยังไงเขาก็จะไม่รับเพิ่ม เพราะกลัวว่าคนเยอะเกินไปจะรบกวนสัตว์ป่าครับ  ตรงนี้เขาเคร่งครัดจริงๆนะครับ  ใครที่สนใจจะไปต้องจองล่วงหน้านะ อย่างน้อยๆก็เป็นสัปดาห์ครับ



The Gibbon Experience
Phone: 086-84-212021, 856-30-5745866
Email: info@gibbonexperience.org
Web site  : gibbonexperience.org
facebook  : facebook.com/gibbonexperience



สำหรับทริป บ้านต้นไม้นี้ ราคาอยู่ที่ ประมาณ 5,000 บาทไทย ครับ (ราคาคร่าวๆนะ ถ้าไม่แน่ใจก็โทรไปถามได้ครับ) 3 วัน 2 คืน รวมทุกอย่าง ทั้งค่ารถไปบ้านต้นไม้ อาหารสามมื้อต่อวัน และอาหารว่างอื่นๆอีกมากมายครับ (ยกเว้นค่ารถทัวร์ไปกลับนะครับ)



ที่พัก บ่อแก้ว – ห้วยทราย


สำหรับการเดินทาง Gibbon Experience จะต้องพักที่ห้วยทรายหนึ่งคืนก่อน จะเดินทางไปเลยไม่ได้ เพราะการเดินทางต้องใช้เวลา ที่ Gibbon Experience จะมีรถมารับตอน 7 โมงเช้าเที่ยวเดียวเท่านั้น ถ้าคุณยังไม่มีที่พัก ลองตรวจสอบห้องพักกับ agoda ก็ได้ครับ หรือจะเลือกพักที่ Huaysay Riverside Hotel ที่เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าลองครับ





Learn more »
Hotels2thailand.com

Like us on Facebook